>คงไม่มีใครที่จะกล้าลุกขึ้นมาประกาศศักดาว่า
>สามารถยืนอยู่บนโลกนี้ได้โดยลำพัง และปฏิเสธว่า เพื่อน คือ
>สิ่งฟุ่มเฟือยที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์อันยาวนาน
>เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีใครสามารถยืนอยู่บนโลกนี้เพียงคนเดียวได้
>ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเข้มแข็งหรือต่อให้มีขาแข็งสักเพียงไหน
>มันต้องมีสักวัน สักเวลา สักวินาที
>ที่เขาอยากจะทรุดตัวลงนั่งคุยกับใครบางคน
>ซึ่งเขารู้ว่าได้ยืนอยู่ข้างเขาตลอดมา และพร้อมจะอยู่กับเขาตลอดไป
> >สิ่งที่เดินทางมาพร้อมกับเพื่อนและอบอวลอยู่ในคำ ๆ นี้ คือ
>มิตรภาพ ซึ่งอาจจะก่อตัวขึ้นได้ทุกขณะ
>ตั้งเค้าเร็วกว่าพายุดีเปรสชั่นใด ๆ
>เพียงแค่ตาสบตา ริมฝีปากกระตุกทำมุมน่ารักกับใบหน้า
>เชื่อไหมว่าแค่นี้มิตรภาพก็เดินทางมาถึงแล้ว
>มิตรภาพมีความหมายและความสำคัญกับชีวิต ยิ่งใหญ่
>เพราะมันเริ่มต้นจากการให้ และสามารถสิ้นสุดลงด้วยเข้าใจ
>ไม่เหมือนกับความรักที่มักเริ่มจากการให้ ดำเนินต่อไปด้วยการเรียกร้อง
>และมักจะสิ้นสุดด้วยการมองหน้ากันไม่ติด
> >ฉันไม่ใช่คนมีเพื่อนมาก
>เพราะถือว่าเพื่อนไม่ใช่ฟุตบอลที่เมื่อลงสนามก็ต้องรีบวิ่ง
>ไปยิงประตูทำแต้มให้ได้มากที่สุดก่อนหมดเวลา
>เพื่อนไม่กฎกติกา มิตรภาพไม่มีการพักครึ่งหรือหมดเวลา
>และความสัมพันธ์ไม่มีคำว่าแพ้ชนะ ฉันจึงไม่รีบร้อนที่จะมีเพื่อน
>มันเป็นเรื่องง่ายในการที่จะหาเพื่อนใหม่
>แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะรักษามิตรภาพระหว่างเรากับเพื่อนให้คงอยู่ตลอดไป
>เพราะเพื่อนเป็นสสารที่แปลก ยิ่งคบกันนาน ก็ยิ่งเปราะบาง
>และง่ายต่อการแตกหัก
> >มิตรภาพของเพื่อนที่เติบโตไปพร้อมกับวันเวลาในการคบหา
>ทำให้คนสองคน (หรือมากกว่านั้น) สนิทกันมากขึ้น
>จนบ่อยครั้งความสนิทก็ได้ทำให้เราละเลยหรือมองข้ามอะไรบางอย่างไป
>บ่อยครั้งความสนิททำให้เราทำร้ายจิตใจเพื่อนโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
>หรือโดยที่เราไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
>บางครั้งเราอาจจะปรับความเข้าใจกันได้
>แต่ก็มีไม่น้อยที่มันลุกลามและรุนแรงเกินที่เราจะไหวทัน
>และกว่าจะรู้ตัวมันก็ทำลายอะไรต่อมิอะไรย่อยยับลงไปหมดแล้ว
>ทั้งนี้ทั้งนั้นเชื่อไหมว่าบางทีมันอาจจะเกิดเพราะคำมักง่ายที่พลั้งปากไปเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเอง
> >ฉันเคยเห็นเพื่อนที่คบกันมาเกือบสิบปี
>เลิกคบกันเพียงเพราะอีกคนลืมนัด และทิฐิเกินกว่าจะขอโทษ
>และอีกคนก็ใจแข็งเกินกว่าจะยอมให้อภัย อาจจะดูงี่เง่า
>(ซึ่งฉันก็ว่ามันงี่เง่า) แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ก็อย่างที่บอก
>เพื่อนเป็นสสารที่แปลก ยิ่งคบกันนาน ก็ยิ่งเปราะบาง
>และง่ายต่อการแตกหัก
>อย่าให้ความสนิทเป็นดาบสองคมที่จะทำลายมิตรภาพและคำว่าเพื่อนลงเลย
> >มันอาจจะง่ายในการที่เราจะหา “เพื่อนใหม่”สักคน
>แต่มันยากกว่านะ ที่เราจะมี “เพื่อนเก่า”สักคน “เพื่อน”
>ได้ยืนอยู่ข้างเราตลอดมา และพร้อมจะอยู่กับเราตลอด
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550
นิทานความรัก: ความรักของ...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าชายองค์หนึ่ง
เขาได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลก
เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ท่องเที่ยวไปหลายประเทศ
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเจอเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
ทำให้เขาหลงรักเธอ และอยากได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
แต่การที่จะแต่งงานกับเธอได้ต้องผ่านการทดสอบมากมายนานนัปประการ
ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถผ่านการทดสอบเลือกคู่มาได้แต่เพียงผู้เดียว
ทว่า... ก่อนที่เขาจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงนั้น
มีมังกรท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งได้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป
เขาได้ออกตามล่าเจ้ามังกรจนตามทันและขับไล่มันได้สำเร็จหลังจากที่ต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด
และได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและอยู่อย่างมีความสุขที่ปราสาทของตน...
The Princess...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
เธออยู่ในอาณาจักรที่ห่างไกลและเจริญรุ่งเรือง
เธอชอบออกไปเดินเล่นในป่าเป็นประจำด้วยความรักที่มีต่อธรรมชาติ
จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับพ่อมดรูปงามคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น
ทำให้เธอหลงรักเขา และอยากอยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
พวกเขาได้ฝ่าฝันกับการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาซึ่งเป็นพ่อของเธอ
ซึ่งในที่สุดก็มีเจ้าชายคนหนึ่งที่สามารถผ่านการทดสอบมาได้แต่เพียงผู้เดียว
ทว่า... เธอไม่ได้รักเจ้าชาย เธอไม่อยากแต่งงานกับเขา ต่อให้พ่อมดจะมีหน้าตาน่ารังเกียจกว่าเจ้าชาย เธอก็ยินดีที่จะเลือกพ่อมดมากกว่าเสียอีก
ก่อนวันแต่งงาน เธอขอร้องให้พ่อมดคนที่เธอรักส่งมังกรมาพาตัวเธอไปให้ไกลๆ
แต่เจ้าชายก็ตามมาทันพร้อมทั้งสู้กับมังกรจนกระทั่งมันพ่ายแพ้บินหนีไปและพาตัวเธอกลับไป
เธอไม่มีโอกาสได้เจอกับคนที่เธอรักอีกเลย ถึงได้แต่งงานแต่ก็ไม่มีความสุข...
The Wizard...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง
เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาก
เขาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาณาจักรมากนัก
ซึ่งในอาณาจักรนั้นมีเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลกอยู่ด้วย
เขาแอบชอบเจ้าหญิงมานานแล้วแต่เพราะหน้าตาไม่สู้จึงฝึกฝนเวทมนตร์เพื่อเป็นพ่อมด
และก็หาโอกาสออกมาพบกับเจ้าหญิงจนได้
เขาได้ใช้เวทมนตร์เสกให้รูปกายให้งดงามยิ่งกว่าผู้ชายคนไหนในโลก
ซึ่งเจ้าหญิงก็ตกหลุมรักเขา เขาตั้งใจว่าจะให้เธอรักเขาก่อนแล้วค่อยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้...
เขาเกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าเธอเห็นหน้าตาจริงๆ ของเขาแล้วเธออาจจะรับไม่ได้
เขาก็เลยรู้สึกท้อใจ และคิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งผ่านการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาได้
ทว่า... ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าชายเลย
ก่อนวันแต่งงาน เธอเข้ามาของร้องให้เขาพาเธอไปไกลๆ เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน
เขาก็เลยเห็นว่าน่าจะเป็นการดีเลยส่งมังกรพาตัวเธอไปแล้วให้เจ้าชายไปช่วยเพื่อที่จะให้เธอเห็นว่ามีคนที่ดีกว่าเขา
เขาสั่งให้มังกรออมมือให้เจ้าชายและหนีทันทีที่เห็นว่าสู้มานานพอแล้ว แล้วเธอก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายในที่สุด...
"หวังว่าเธอคงจะมีความสุขนะ..."
เขาได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลก
เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ท่องเที่ยวไปหลายประเทศ
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเจอเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
ทำให้เขาหลงรักเธอ และอยากได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
แต่การที่จะแต่งงานกับเธอได้ต้องผ่านการทดสอบมากมายนานนัปประการ
ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถผ่านการทดสอบเลือกคู่มาได้แต่เพียงผู้เดียว
ทว่า... ก่อนที่เขาจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงนั้น
มีมังกรท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งได้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป
เขาได้ออกตามล่าเจ้ามังกรจนตามทันและขับไล่มันได้สำเร็จหลังจากที่ต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด
และได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและอยู่อย่างมีความสุขที่ปราสาทของตน...
The Princess...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
เธออยู่ในอาณาจักรที่ห่างไกลและเจริญรุ่งเรือง
เธอชอบออกไปเดินเล่นในป่าเป็นประจำด้วยความรักที่มีต่อธรรมชาติ
จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับพ่อมดรูปงามคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น
ทำให้เธอหลงรักเขา และอยากอยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
พวกเขาได้ฝ่าฝันกับการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาซึ่งเป็นพ่อของเธอ
ซึ่งในที่สุดก็มีเจ้าชายคนหนึ่งที่สามารถผ่านการทดสอบมาได้แต่เพียงผู้เดียว
ทว่า... เธอไม่ได้รักเจ้าชาย เธอไม่อยากแต่งงานกับเขา ต่อให้พ่อมดจะมีหน้าตาน่ารังเกียจกว่าเจ้าชาย เธอก็ยินดีที่จะเลือกพ่อมดมากกว่าเสียอีก
ก่อนวันแต่งงาน เธอขอร้องให้พ่อมดคนที่เธอรักส่งมังกรมาพาตัวเธอไปให้ไกลๆ
แต่เจ้าชายก็ตามมาทันพร้อมทั้งสู้กับมังกรจนกระทั่งมันพ่ายแพ้บินหนีไปและพาตัวเธอกลับไป
เธอไม่มีโอกาสได้เจอกับคนที่เธอรักอีกเลย ถึงได้แต่งงานแต่ก็ไม่มีความสุข...
The Wizard...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง
เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาก
เขาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาณาจักรมากนัก
ซึ่งในอาณาจักรนั้นมีเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลกอยู่ด้วย
เขาแอบชอบเจ้าหญิงมานานแล้วแต่เพราะหน้าตาไม่สู้จึงฝึกฝนเวทมนตร์เพื่อเป็นพ่อมด
และก็หาโอกาสออกมาพบกับเจ้าหญิงจนได้
เขาได้ใช้เวทมนตร์เสกให้รูปกายให้งดงามยิ่งกว่าผู้ชายคนไหนในโลก
ซึ่งเจ้าหญิงก็ตกหลุมรักเขา เขาตั้งใจว่าจะให้เธอรักเขาก่อนแล้วค่อยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้...
เขาเกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าเธอเห็นหน้าตาจริงๆ ของเขาแล้วเธออาจจะรับไม่ได้
เขาก็เลยรู้สึกท้อใจ และคิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งผ่านการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาได้
ทว่า... ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าชายเลย
ก่อนวันแต่งงาน เธอเข้ามาของร้องให้เขาพาเธอไปไกลๆ เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน
เขาก็เลยเห็นว่าน่าจะเป็นการดีเลยส่งมังกรพาตัวเธอไปแล้วให้เจ้าชายไปช่วยเพื่อที่จะให้เธอเห็นว่ามีคนที่ดีกว่าเขา
เขาสั่งให้มังกรออมมือให้เจ้าชายและหนีทันทีที่เห็นว่าสู้มานานพอแล้ว แล้วเธอก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายในที่สุด...
"หวังว่าเธอคงจะมีความสุขนะ..."
"การดูแลผมแตกปลาย"
ผมแตกปลายเกิดขึ้นเมื่อชั้นของเซลล์ของเส้นผมแตกแยกตัวออกจากกัน ไม่มีวิธีที่จะทำให้ชั้น ที่แตกแยกออกจากกันนี้กลับมาสมานสนิทได้ถาวร ครีมนวดผม (conditioner) จะทำให้เส้นผมที่ แตกปลายกลับมาสมานกันได้เพียงชั่วคราวเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างมากก็แค่ไม่กี่วัน โดยทั่วไปเมื่อสระผมครั้งต่อไปผมก็จะแตกปลายอีก
จึงต้องใช้ครีมนวดผมอย่างสม่ำเสมอ วิธีใช้ครีมนวดผมคือใช้หลังสระผมแล้วชโลมครีมนวดผมทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วล้างออก หรือครีมนวดผมอีกแบบที่ใช้หลังสระผมโดยซับผมให้หมาดๆ แล้วชโลมครีมทิ้งไว้เลยโดยไม่ต้องล้างออก นอกจากนั้นหลังสระผม อย่าขยี้ผมแรงๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับผมให้แห้ง อย่าหวีผมหรือแปรงผมขณะที่ผมยังเปียกอยู่
ถ้าจะใช้เครื่องเป่าผมก็อย่าตั้งอุณหภูมิสูง เพราะจะทำลายเส้นผมทำให้ผมแตกปลายได้ง่ายขึ้น อย่าย้อมผม ดัดผม ยืดผมบ่อยเกินไปเพราะทำให้เส้นผมแตกปลายได้ง่าย โดยทั่วไปเส้นผมของคนเราหลังตัดครบ 1 เดือนจะเริ่มยาวไม่สม่ำเสมอ และมีผมแตกปลาย ดังนั้นการไปพบช่างตัดผมอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้เรือนผมดูสวยงามอยู่เสมอนะครับ วิธีแก้ไขผมแตกปลายที่ดีที่สุดก็คือตัดส่วนปลายผมที่แตกปลายออก ดังนั้นคนที่ไว้ผมสั้นจะมีปัญหาเรื่องผมแตกปลายน้อยกว่าคนที่ไว้ผมยาว
ส่วนอาหารวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ได้แก่
ธาตุเหล็ก - พบในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ผักขม
กลุ่มของวิตามินบี - พบในจมูกข้าว ถั่ว ไข่ ถั่วเหลือง กล้วย
กรดอะมิโน เช่น ซิสเตอีนและเม็ทไทโอนีน ซึ่งมีส่วนประกอบของกำมะถันที่ จะทำให้เซลล์ เส้นผมเชื่อมติดกันแน่น พบในถั่ว เม็ดธัญพืช ไข่ เนื้อ
สังกะสี - พบในเนยแข็ง ข้าวซ้อมมือ ปลาซาร์ดีน และขนมปังข้าวไรย์
ซีลีเนียม - พบในเนยแข็ง Cheddar กุ้ง แครอท
สำหรับวิธีการสระผมที่ถูกต้องนั้น มีขั้นตอนคือ
1. ปล่อยให้ผมสยายลงมาตามธรรมชาติขณะสระผม นั่นคือสระผมในท่ายืนสระใต้ฝักบัว หรือก้มสระในอ่างอาบน้ำ
2. ใช้น้ำอุ่นชะล้างเส้นผมก่อนที่จะลงแชมพู
3. เอาแชมพูใส่ฝ่ามือ กะปริมาณแชมพูให้พอเกิดฟองได้หมดทั้งศีรษะ
4. ฟอกเส้นผมและหนังศีรษะด้วยแชมพู เริ่มที่หนังศีรษะก่อนใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบาๆ อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้แรงๆ
5. ใช้น้ำสะอาดล้างแชมพูออก โดยใช้นิ้วมือล้างแชมพูออกตั้งแต่โคนเส้นผมไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้แรงๆ เพราะเส้นผมจะได้รับอันตรายจากแรงเสียดสี
สำหรับการใช้ครีมนวดผมนั้น มีขั้นตอนดังนี้
1. สระผมล้างแชมพูออกอย่างหมดจด อย่าให้มีฟองแชมพูตกค้าง
2. เทครีมนวดผมใส่ฝ่ามือ
3. ฟอกครีมนวดผมกับเส้นผม ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ครีมนวดผมให้ทั่วเส้นผมแล้วทิ้งไว้ 1-2 นาที
4. ล้างครีมนวดผมออก โดยให้น้ำชะล้างครีมนวดผมตั้งแต่โคนไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้เส้นผมขณะผมเปียก
สำหรับการเช็ดผมให้แห้ง มีขั้นตอนคือ
1. ใช้ผ้าขนหนูสะอาด ที่แห้งสนิท ซับเส้นผมที่เปียกน้ำ
2. ในขณะที่ผมยังชื้นอยู่ ใช้แปรงหรือหวีสางผมที่พันกันหรือยุ่งเหยิง โดยแปรงเบาๆ จากปลายเส้นผม และค่อยๆ สูงขึ้นไปสู่โคนเส้นผม
3. ใช้มูสหรือเจลตามที่ชอบ แต่อย่าใช้มากเกินไป
4. ควรปล่อยให้เส้นผมแห้งสนิทตามธรรมชาติ
5. หากมีเวลาจำกัด ไม่สามารถรอให้ผมแห้งตามธรรมชาติได้ ก็ต้องใช้เครื่องเป่าผม โดยใช้เครื่องเป่าผมเมื่อซับผมด้วยผ้าขนหนูก่อน
6. ควรใช้ความร้อนและความแรงของเครื่องเป่าที่สปีดต่ำสุด
7. การเป่าผมต้องเคลื่อนไหวไปทั่วศีรษะ อย่าจ่อเป่าให้แห้งทีละจุดๆ เพราะจะทำให้ เส้นผมและหนังศีรษะเกิดอันตราย
เส้นผมของคุณจะแลดูสวยเป็นเงางามก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลบำรุงรักษาทุกวัน ร่วมไปกับการกินอาหารที่ดีและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมถึงพยายามลดความเครียดลงด้วย เพราะความเครียดทำให้ผมหลุดร่วงได้
ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อให้เส้นผมไม่แตกหักง่ายและดูเงางามอ่อนนุ่มสลวยอยู่เสมอมีดังนี้
1 หวีและแปรงผมให้น้อยลง ความเชื่อที่ว่าควรแปรงผมวันละ 100 ครั้ง นั้นเป็นความเชื่อ ที่ผิด และไม่ควรใช้หวีหรือแปรงที่มีขนแหลมคม หรือที่ทำจากโลหะหรือพลาสติก ควรใช้หวีที่ทำจากขนสัตว์ธรรมชาติ
2. ไม่ควรแปรงผมย้อนไปด้านหลังหรือยีผมแรงๆ (ควรหวีผมตามแนวเส้นผม)
3. ไม่รัดผมให้แน่นหรือถักเปียแน่นจนเกินไปนัก รวมทั้งการสวมหมวกที่คับเกินไป หรือพันผ้าคาดศีรษะจนแน่น
4. ควรใช้แชมพูอ่อนๆ สระผม หลังสระควรใช้ครีมนวดหรือครีมปรับสภาพเส้นผม และไม่ควรสระผมและเป่าผมให้แห้งบ่อยครั้งเกินไป
5. เล็มปลายเส้นผมที่แตกปลายทิ้ง
นอกจากนี้ยังพบว่าสารเคมีเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นผมหักได้บ่อยที่สุด เพราะเมื่อชั้นนอกสุดของเส้นผมถูกสารเคมีอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะจากยาย้อมผม ยากัดสีผม ยาดัดผม หรือยาเหยียดผม ยายืดผมตรง สารเคมีในตัวยาเหล่านี้จะทำให้เส้นผมแห้งและแข็งกระด้าง จึงควรใช้น้ำยา เหล่านี้เมื่อจำเป็นและไม่ควรใช้บ่อยครั้ง
จึงต้องใช้ครีมนวดผมอย่างสม่ำเสมอ วิธีใช้ครีมนวดผมคือใช้หลังสระผมแล้วชโลมครีมนวดผมทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วล้างออก หรือครีมนวดผมอีกแบบที่ใช้หลังสระผมโดยซับผมให้หมาดๆ แล้วชโลมครีมทิ้งไว้เลยโดยไม่ต้องล้างออก นอกจากนั้นหลังสระผม อย่าขยี้ผมแรงๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับผมให้แห้ง อย่าหวีผมหรือแปรงผมขณะที่ผมยังเปียกอยู่
ถ้าจะใช้เครื่องเป่าผมก็อย่าตั้งอุณหภูมิสูง เพราะจะทำลายเส้นผมทำให้ผมแตกปลายได้ง่ายขึ้น อย่าย้อมผม ดัดผม ยืดผมบ่อยเกินไปเพราะทำให้เส้นผมแตกปลายได้ง่าย โดยทั่วไปเส้นผมของคนเราหลังตัดครบ 1 เดือนจะเริ่มยาวไม่สม่ำเสมอ และมีผมแตกปลาย ดังนั้นการไปพบช่างตัดผมอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้เรือนผมดูสวยงามอยู่เสมอนะครับ วิธีแก้ไขผมแตกปลายที่ดีที่สุดก็คือตัดส่วนปลายผมที่แตกปลายออก ดังนั้นคนที่ไว้ผมสั้นจะมีปัญหาเรื่องผมแตกปลายน้อยกว่าคนที่ไว้ผมยาว
ส่วนอาหารวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ได้แก่
ธาตุเหล็ก - พบในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ผักขม
กลุ่มของวิตามินบี - พบในจมูกข้าว ถั่ว ไข่ ถั่วเหลือง กล้วย
กรดอะมิโน เช่น ซิสเตอีนและเม็ทไทโอนีน ซึ่งมีส่วนประกอบของกำมะถันที่ จะทำให้เซลล์ เส้นผมเชื่อมติดกันแน่น พบในถั่ว เม็ดธัญพืช ไข่ เนื้อ
สังกะสี - พบในเนยแข็ง ข้าวซ้อมมือ ปลาซาร์ดีน และขนมปังข้าวไรย์
ซีลีเนียม - พบในเนยแข็ง Cheddar กุ้ง แครอท
สำหรับวิธีการสระผมที่ถูกต้องนั้น มีขั้นตอนคือ
1. ปล่อยให้ผมสยายลงมาตามธรรมชาติขณะสระผม นั่นคือสระผมในท่ายืนสระใต้ฝักบัว หรือก้มสระในอ่างอาบน้ำ
2. ใช้น้ำอุ่นชะล้างเส้นผมก่อนที่จะลงแชมพู
3. เอาแชมพูใส่ฝ่ามือ กะปริมาณแชมพูให้พอเกิดฟองได้หมดทั้งศีรษะ
4. ฟอกเส้นผมและหนังศีรษะด้วยแชมพู เริ่มที่หนังศีรษะก่อนใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบาๆ อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้แรงๆ
5. ใช้น้ำสะอาดล้างแชมพูออก โดยใช้นิ้วมือล้างแชมพูออกตั้งแต่โคนเส้นผมไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้แรงๆ เพราะเส้นผมจะได้รับอันตรายจากแรงเสียดสี
สำหรับการใช้ครีมนวดผมนั้น มีขั้นตอนดังนี้
1. สระผมล้างแชมพูออกอย่างหมดจด อย่าให้มีฟองแชมพูตกค้าง
2. เทครีมนวดผมใส่ฝ่ามือ
3. ฟอกครีมนวดผมกับเส้นผม ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ครีมนวดผมให้ทั่วเส้นผมแล้วทิ้งไว้ 1-2 นาที
4. ล้างครีมนวดผมออก โดยให้น้ำชะล้างครีมนวดผมตั้งแต่โคนไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้เส้นผมขณะผมเปียก
สำหรับการเช็ดผมให้แห้ง มีขั้นตอนคือ
1. ใช้ผ้าขนหนูสะอาด ที่แห้งสนิท ซับเส้นผมที่เปียกน้ำ
2. ในขณะที่ผมยังชื้นอยู่ ใช้แปรงหรือหวีสางผมที่พันกันหรือยุ่งเหยิง โดยแปรงเบาๆ จากปลายเส้นผม และค่อยๆ สูงขึ้นไปสู่โคนเส้นผม
3. ใช้มูสหรือเจลตามที่ชอบ แต่อย่าใช้มากเกินไป
4. ควรปล่อยให้เส้นผมแห้งสนิทตามธรรมชาติ
5. หากมีเวลาจำกัด ไม่สามารถรอให้ผมแห้งตามธรรมชาติได้ ก็ต้องใช้เครื่องเป่าผม โดยใช้เครื่องเป่าผมเมื่อซับผมด้วยผ้าขนหนูก่อน
6. ควรใช้ความร้อนและความแรงของเครื่องเป่าที่สปีดต่ำสุด
7. การเป่าผมต้องเคลื่อนไหวไปทั่วศีรษะ อย่าจ่อเป่าให้แห้งทีละจุดๆ เพราะจะทำให้ เส้นผมและหนังศีรษะเกิดอันตราย
เส้นผมของคุณจะแลดูสวยเป็นเงางามก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลบำรุงรักษาทุกวัน ร่วมไปกับการกินอาหารที่ดีและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมถึงพยายามลดความเครียดลงด้วย เพราะความเครียดทำให้ผมหลุดร่วงได้
ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อให้เส้นผมไม่แตกหักง่ายและดูเงางามอ่อนนุ่มสลวยอยู่เสมอมีดังนี้
1 หวีและแปรงผมให้น้อยลง ความเชื่อที่ว่าควรแปรงผมวันละ 100 ครั้ง นั้นเป็นความเชื่อ ที่ผิด และไม่ควรใช้หวีหรือแปรงที่มีขนแหลมคม หรือที่ทำจากโลหะหรือพลาสติก ควรใช้หวีที่ทำจากขนสัตว์ธรรมชาติ
2. ไม่ควรแปรงผมย้อนไปด้านหลังหรือยีผมแรงๆ (ควรหวีผมตามแนวเส้นผม)
3. ไม่รัดผมให้แน่นหรือถักเปียแน่นจนเกินไปนัก รวมทั้งการสวมหมวกที่คับเกินไป หรือพันผ้าคาดศีรษะจนแน่น
4. ควรใช้แชมพูอ่อนๆ สระผม หลังสระควรใช้ครีมนวดหรือครีมปรับสภาพเส้นผม และไม่ควรสระผมและเป่าผมให้แห้งบ่อยครั้งเกินไป
5. เล็มปลายเส้นผมที่แตกปลายทิ้ง
นอกจากนี้ยังพบว่าสารเคมีเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นผมหักได้บ่อยที่สุด เพราะเมื่อชั้นนอกสุดของเส้นผมถูกสารเคมีอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะจากยาย้อมผม ยากัดสีผม ยาดัดผม หรือยาเหยียดผม ยายืดผมตรง สารเคมีในตัวยาเหล่านี้จะทำให้เส้นผมแห้งและแข็งกระด้าง จึงควรใช้น้ำยา เหล่านี้เมื่อจำเป็นและไม่ควรใช้บ่อยครั้ง
Le coup d’État (การก่อรัฐประหาร)....
Le schéma du coup d’État du 18 Brumaire (9 novembre 1799) prévoit les opérations suivantes : Bonaparte aura le commandement en chef de l’armée pour le maintien de l’ordre dans Paris et dans les assemblées. On envisage de déplacer les assemblées au château de Saint-Cloud sous le prétexte d’un péril jacobin. En effet, depuis 1789, les assemblées se trouvent toujours sous la menace de la population parisienne.
L'essentiel des événements se déroule le 19 brumaire à Saint-Cloud. Les révisionnistes avaient envisagé une démission collective des cinq directeurs, mais les assemblées ont du retard car cette idée ne fait pas l’unanimité ; Bonaparte s’impatiente et décide d’intervenir.
Il tient un discours maladroit devant le Conseil des Cinq-Cents, discours hué par les députés qui l’accusent de vouloir instaurer la dictature. Bonaparte est alors contraint de quitter l’assemblée. Mais il prend rapidement la situation en main avec l’aide de son frère Lucien qui préside les cinq-cents. Lucien évite que Napoléon soit mis en cause par les députés qui veulent voter pour mettre hors-la-loi Bonaparte. Lucien retarde le vote et va chercher Murat qui vient avec la troupe et met de l’ordre dans les assemblées, disant que certains députés voulaient poignarder Bonaparte pour justifier une intervention de l’armée.
Les représentations des députés sortant par les fenêtres et voulant poignarder Napoléon sont très répandues. Bonaparte est de fait l’homme fort de la situation, qui fait basculer un coup d’État parlementaire en un coup d’État militaire.
Mais Bonaparte reste attaché aux formes juridiques et dans la soirée du 19 Brumaire, les députés restent à Saint-Cloud pour voter la décision de nommer deux commissions pour préparer une nouvelle constitution. On constate alors une volonté d’appuyer le régime sur le vote des représentants du peuple.
Bonaparte, Premier consul, par Jean Auguste Dominique IngresLe 20 brumaire les trois Consuls sont désignés : Bonaparte, Sieyès et Ducos. C’est le début du Consulat. Roger Ducos est tout acquis à Bonaparte, alors que Sieyès lui n’entend pas se résigner à abandonner le pouvoir à Bonaparte seul. Il entend bien jouer un rôle dans le gouvernement du Consulat. Pour contrecarrer son encombrant collègue, Bonaparte, multipliant les provocations, maintient aux portefeuilles ministériels les ennemis de Sieyès en offrant les relations extérieures à Talleyrand et celui de la Police à Fouché.
Le travail de rédaction de la Constitution est confié officiellement à deux commissions législatives formées de députés des Cinq-Cents et des Anciens. Mais en fait, c’est Sieyès qui va proposer un projet. À l’examen, le projet s’avérera trop complexe, voire irréaliste. En effet, il prévoit l’instauration d’un régime démocratique fondé sur un pouvoir législatif fort représenté par trois chambres. L’exécutif sera, quant à lui, réduit à une magistrature à vie purement honorifique et à deux consuls aux fonctions limitées.
Bonaparte profite des faiblesses de ce plan pour imposer son propre projet et se débarrasser de son encombrant rival. Du 4 au 13 décembre 1799, il réunit ainsi les deux commissions dans son bureau pour élaborer le texte de la nouvelle constitution.
La Constitution de l’an VIII est adoptée en comité restreint le 13 décembre 1799. Elle s’inspire en partie du projet de Sieyès, mais intègre les idées politiques de Napoléon Bonaparte, notamment concernant le pouvoir exécutif. Sieyès, lui-même, sera chargé de désigner les trois consuls de la république: Bonaparte comme premier consul, puis Cambacérès et Lebrun, comme 2e et 3e consuls de la République. Sieyès, quant à lui, sera relégué au poste de président du Sénat.
« Lorsque je me mis à la tête des affaires, la France se trouvait dans le même état que Rome, lorsqu’on déclarait qu’un dictateur était nécessaire pour sauver la République » (Bonaparte).
L'essentiel des événements se déroule le 19 brumaire à Saint-Cloud. Les révisionnistes avaient envisagé une démission collective des cinq directeurs, mais les assemblées ont du retard car cette idée ne fait pas l’unanimité ; Bonaparte s’impatiente et décide d’intervenir.
Il tient un discours maladroit devant le Conseil des Cinq-Cents, discours hué par les députés qui l’accusent de vouloir instaurer la dictature. Bonaparte est alors contraint de quitter l’assemblée. Mais il prend rapidement la situation en main avec l’aide de son frère Lucien qui préside les cinq-cents. Lucien évite que Napoléon soit mis en cause par les députés qui veulent voter pour mettre hors-la-loi Bonaparte. Lucien retarde le vote et va chercher Murat qui vient avec la troupe et met de l’ordre dans les assemblées, disant que certains députés voulaient poignarder Bonaparte pour justifier une intervention de l’armée.
Les représentations des députés sortant par les fenêtres et voulant poignarder Napoléon sont très répandues. Bonaparte est de fait l’homme fort de la situation, qui fait basculer un coup d’État parlementaire en un coup d’État militaire.
Mais Bonaparte reste attaché aux formes juridiques et dans la soirée du 19 Brumaire, les députés restent à Saint-Cloud pour voter la décision de nommer deux commissions pour préparer une nouvelle constitution. On constate alors une volonté d’appuyer le régime sur le vote des représentants du peuple.
Bonaparte, Premier consul, par Jean Auguste Dominique IngresLe 20 brumaire les trois Consuls sont désignés : Bonaparte, Sieyès et Ducos. C’est le début du Consulat. Roger Ducos est tout acquis à Bonaparte, alors que Sieyès lui n’entend pas se résigner à abandonner le pouvoir à Bonaparte seul. Il entend bien jouer un rôle dans le gouvernement du Consulat. Pour contrecarrer son encombrant collègue, Bonaparte, multipliant les provocations, maintient aux portefeuilles ministériels les ennemis de Sieyès en offrant les relations extérieures à Talleyrand et celui de la Police à Fouché.
Le travail de rédaction de la Constitution est confié officiellement à deux commissions législatives formées de députés des Cinq-Cents et des Anciens. Mais en fait, c’est Sieyès qui va proposer un projet. À l’examen, le projet s’avérera trop complexe, voire irréaliste. En effet, il prévoit l’instauration d’un régime démocratique fondé sur un pouvoir législatif fort représenté par trois chambres. L’exécutif sera, quant à lui, réduit à une magistrature à vie purement honorifique et à deux consuls aux fonctions limitées.
Bonaparte profite des faiblesses de ce plan pour imposer son propre projet et se débarrasser de son encombrant rival. Du 4 au 13 décembre 1799, il réunit ainsi les deux commissions dans son bureau pour élaborer le texte de la nouvelle constitution.
La Constitution de l’an VIII est adoptée en comité restreint le 13 décembre 1799. Elle s’inspire en partie du projet de Sieyès, mais intègre les idées politiques de Napoléon Bonaparte, notamment concernant le pouvoir exécutif. Sieyès, lui-même, sera chargé de désigner les trois consuls de la république: Bonaparte comme premier consul, puis Cambacérès et Lebrun, comme 2e et 3e consuls de la République. Sieyès, quant à lui, sera relégué au poste de président du Sénat.
« Lorsque je me mis à la tête des affaires, la France se trouvait dans le même état que Rome, lorsqu’on déclarait qu’un dictateur était nécessaire pour sauver la République » (Bonaparte).
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)