วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Noël



Noël est une fête chrétienne célébrant chaque année la naissance de Jésus de Nazareth, appelée Nativité.
Cette fête donne lieu à des offices religieux spéciaux et à des échanges de cadeaux et de vœux. Dans l'année 354, Noël a été fixé officiellement au 25 décembre par le pape Libère. Parce que la plupart des Églises orthodoxes suivent toujours le calendrier julien qui présente un décalage de quatorze jours avec le calendrier grégorien désormais en usage officiellement, elles célèbrent Noël le 7 janvier du calendrier grégorien (c’est-à-dire le 25 décembre du calendrier julien). La popularité de la fête a fait que « Noël » est devenu aussi un prénom porté.

คริสต์มาส (Christmas หรือ X'Mas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม พระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน
คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษา อังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า" Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

1.ชิเชน อิตซา คาบสมุทรยูคาตาน เม็กซิโก

ชิเชน อิตซาเป็นภาษามายาแปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) วิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของประชาชนในอดีตนั้น แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของเนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย โดยเฉพาะในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคานซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้ายและเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย


2.รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครริโอเดอจาเนโร บราซิล

รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี



3.มาชู ปิกชู ประเทศเปรู

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิ ปาชาคูเทค ยูปันกี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกชื่อว่า มาชู ปิกชู (มีความหมายว่าภูเขาโบราณ) ปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซึ่งภายหลังชาวอินคาได้อพยพออกจากเมืองนี้เนื่องจากเกิดโรคระบาดขึ้น หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้รับการค้นพบใหม่โดยฮิราม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2454



4.กำแพงเมืองจีน

กำแพงเมืองจีนตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงป้อมปราการให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกลในอดีต มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6,700 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ผู้คนจำนวนหลายพันคนต้องอุทิศชีวิตให้กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้ นอกจากนี้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2529



5.เปตรา ประเทศจอร์แดน

เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้


6.ทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย

ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาห์ จาฮัน เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดซึ่งเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 39 ชันษาหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศักราช 1631-1648 สร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหลัง รวมทั้งใช้วัสดุในการตกแต่งชั้นเลิศจากทั่วเอเชียซึ่งขนส่งโดยใช้ช้างกว่า 1,000 ตัว ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะแบบมุสลิมที่สวยงามสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอินเดีย นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดของอินเดีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทัชมาฮาลราวปีละเกือบ 3 ล้านคน


7.สนามกีฬาโคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี

สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้องปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม



Le cocotier est formé d'un tronc (ou stipe) surmonté d'une large couronne de feuilles. À l'aisselle de chaque feuille se trouve généralement une inflorescence qui se développe en un régime chargé de noix de coco. Le tronc ou stipe s'élargit quelquefois à la base et forme un bulbe qui augmente sa résistance, notamment aux cyclones. D'aspect relativement lisse et de couleur claire, le tronc porte des marques régulières : chaque feuille produite par l'arbre laisse une cicatrice en forme de croissant. L'écart entre ces cicatrices permet de distinguer les deux types de cocotier : les Grands et les Nains. Chez les Grands, l'écart entre deux cicatrices foliaires est supérieur à 5 cm. Chez les Nains, il ne dépasse pas 2,5 cm. Dans le sol, le tronc prend l'aspect d'un cône renversé, dénommé bulbe radiculaire. De toute la surface du bulbe partent plusieurs milliers de racines assez fines qui forment un matelas dense, réparti essentiellement dans le premier mètre du sol. Certaines racines atteignent cependant 4 à 5 mètres de profondeur.

La couronne foliaire compte une trentaine de feuilles, dépassant quelquefois six mètres de long. Un bourgeon unique fabrique l'ensemble des feuilles et des fleurs. Ce bourgeon fonctionne en continu : le cocotier pousse donc inexorablement, et cela jusqu’à sa mort. Bien que le bourgeon soit très protégé, son unicité donne à l'arbre une certaine fragilité. Lorsqu'un insecte réussit à pénétrer dans le cœur et dévore le bourgeon, le cocotier est condamné. À l'aisselle de chaque feuille apparaît généralement une spathe pointue qui grandit et finit souvent par dépasser un mètre de longueur. Arrivée à terme, la spathe se fend et libère l'inflorescence. Cette dernière est formée d'un axe sur lequel s'insèrent des épillets. Les fleurs femelles, situées au bas des épillets, sont des globules de deux à trois centimètres de diamètre. Leur nombre est généralement de 20 à 30, mais peut atteindre plusieurs centaines. Les fleurs mâles, plus nombreuses, occupent la partie supérieure des épillets. Encore fermées, leur forme rappelle celle d'un grain de riz.

Pour toutes les variétés de cocotier, l'organisation des fruits est similaire. Un épiderme, d'abord coloré, puis gris-brun à maturité, entoure une enveloppe coriace et fibreuse appelée « bourre ». Les noix vendues sur les marchés ont déjà été débourrées pour réduire leur poids et leur volume. Ensuite vient la coque, brun sombre et très résistante, qui adhère fortement à la bourre. De forme oblongue à sphérique, elle se renforce de trois côtes longitudinales plus ou moins marquées. Une fine pellicule d'un brun rougeâtre, le tégument séminal, forme un lien entre la coque et un albumen blanc, brillant, de 10 à 15 mm d'épaisseur. L’albumen est communément désigné sous le terme d'amande. Inséré sous l'un des trois pores germinatifs, se trouve un embryon d'environ 5 mm de long. Un liquide opalescent et sucré occupe jusqu'àux trois quarts de la cavité interne. On l'appelle communément « eau de coco », le terme « lait de coco » étant de préférence réservé à des préparations à base d'amande broyée.



มะพร้าว เป็นพืชยืนต้น ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก ผลประกอบด้วยเอพิคาร์ป (epicarp) คือเปลือกนอก ถัดไปข้างในจะเป็นมีโซคาร์ป (mesocarp) หรือใยมะพร้าว ถัดไปข้างในเป็นส่วนเอนโดคาร์ป (endocarp) หรือกะลามะพร้าว ซึ่งจะมีรูสีคล้ำอยู่ 3 รู สำหรับงอก ถัดจากส่วนเอนโดคาร์ปเข้าไปจะเป็นส่วนเอนโดสเปิร์ม หรือที่เราเรียกว่าเนื้อมะพร้าว ภายในมะพร้าวจะมีน้ำมะพร้าว ซึ่งเมื่อมะพร้าวแก่ เอนโดสเปิร์มก็จะดูดเอาน้ำมะพร้าวไปหมด
ขณะที่มะพร้าวยังอ่อน ชั้นเอนโดสเปิร์ม (เนื้อมะพร้าว) ภายในผลมีลักษณะบางและอ่อนนุ่ม ภายในมีน้ำมะพร้าว ซึ่งในระยะนี้เรามักสอยเอามะพร้าวลงมารับประทานน้ำและเนื้อ เมื่อมะพร้าวแก่ ซึ่งสังเกตได้จากการที่เปลือกนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ชั้นเอนโดสเปิร์มก็จะหนาและแข็งขึ้น จนในที่สุดมะพร้าวก็หล่นลงจากต้น

5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติ มีขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๓ โดย คุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม ด้วยความจงรักภักดี และมีวัตถุประสงค์ เทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พ่อแห่งชาติ”

ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป

วัตถุประสงค์ของการจัด วันพ่อแห่งชาติ ที่คณะผู้ริเริ่มกำหนดคือ

เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม


เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ


เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน

ในการนี้คณะกรรมการได้จัดกิจกรรมประกาศเกียรติคุณ พ่อตัวอย่าง หรือพ่อดีเด่น โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ มีอายุ ๔๐ ปีขึ้นไป ส่งเสริมการศึกษาของบุตรธิดา นับถือศาสนาโดยเคร่งครัด งดเว้นอบายมุขทุกชนิด อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน และมีภรรยาเพียงคนเดียว และได้แนะนำกิจกรรมสำหรับลูกในวันพ่อ คือ ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หรือบำเพ็ญกุศล ทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศล และระลึกถึงพระคุณของพ่อ ซึ่งยังดำเนินการสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

วันที่ ๕ ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้ว ยังถือว่าว่าวันนี้ เป็น “วันชาติของไทย” อีกด้วย

โดยทั่วไป “วันชาติ” มักจะหมายถึง วันเฉลิมฉลองที่ประเทศนั้นๆได้รับอิสรภาพ เป็นเอกราช หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ รัฐ ราชวงศ์ วันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ วันเกิดประมุขของรัฐ หรืออาจจะเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆ แต่มักจะถือเป็นวันหยุดประจำของชาติ ซึ่ง “วันชาติ” ของแต่ละประเทศจะเป็นวันใด ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศโมร็อกโก ตรงกับวันที่ ๒ มีนาคม สหรัฐอเมริกา ตรงกับวันที่ ๔ กรกฎาคม ฝรั่งเศสตรงกับวันที่ ๑๔ กรกฎาคม อินโดนีเซียตรงกับวันที่ ๑๗ สิงหาคม บราซิลตรงกับวันที่ ๗ กันยายน และเคนย่าตรงกับวันที่ ๑๒ ธันวาคม เป็นต้น

“วันชาติ” ของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเพียงวันเดียว แต่ก็มีบางประเทศเช่นกันที่มี “วันชาติ” มากกว่าหนึ่งวัน ทั้งนี้เพราะประเทศนั้นๆ อาจจะนับวันที่ได้รับเอกราชหรือวันที่ปลดแอกจากการเป็นอาณานิคม และวันที่มีการสถาปนาการปกครองขึ้นใหม่ ซึ่งอาจจะมิใช่วันเดียวกัน แต่เป็นวันสำคัญเสมือนวันชาติเท่าๆกัน เช่น ประเทศปากีสถาน จะมีวันชาติตรงกับวันที่ ๒๓ มีนาคม ที่เขาเรียกว่า “Republic Day” และวันที่ ๑๔ สิงหาคม เป็น “Independence Day” ส่วนฮังการี ก็มีถึง ๓ วันคือ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๐ สิงหาคม และ ๒๓ ตุลาคม สำหรับจีน นอกจากจะมีวันชาติตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม แล้ว ที่ฮ่องกง อันเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน ที่มีขึ้นหลังจากอังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้จีนก็มีการเฉลิมฉลองวันที่ตรงกับวันสถาปนาการปกครองพิเศษนี้ขึ้น ในวันที่ ๑ กรกฎาคม อีกด้วย

สำหรับประเทศไทย เราเคยได้มีการกำหนดให้วันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็น “วันชาติ”ของไทย ด้วยถือว่าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยได้มี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง “วันชาติ” ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ โดย พ.อ.พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และได้มีการเฉลิมฉลองวันชาติ ๒๔ มิถุนายน ครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๔๘๒ ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี

วันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็น “วันชาติ” ของไทยอยู่นานถึง ๒๑ ปี ครั้น วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๐๓ สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่ง เรื่อง ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย โดยให้เหตุผลว่า

ด้วยคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ตามที่ได้กำหนดให้มีการเฉลิมฉลองวันชาติไทยในวันที่ ๒๔ มิถุนายน นั้น ได้ปรากฏในภายหลังว่า มีข้อที่ไม่เหมาะสมหลายประการ ในด้านประชาชนและหนังสือพิมพ์ก็ได้เสนอแนะให้พิจารณาในเรื่องนี้หลายครั้งหลายคราว คณะรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา โดยมีพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

คณะกรรมการนี้ได้พิจารณาแล้ว เสนอความเห็นว่า ประเทศต่างๆได้เลือกถือวันใดวันหนึ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับชนในชาติต่างๆกัน โดยถือเอาวันประกาศเอกราช วันอิสรภาพ วันตั้งถิ่นฐาน วันสาธารณรัฐ วันสถาปนาพระราชวงศ์บ้าง ซึ่งไม่เหมือนกัน แต่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ โดยทั่วไปนั้น ได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ เช่น ประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นต้น แม้ประเทศไทยเราเองก็ได้ถือเอาวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยมาแล้ว เพิ่งจะมากำหนดเอาวันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็นวันชาติ เพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่งในระยะหลังนี้เอง

คณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นหลักการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน จึงสมควรจะถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยต่อไป โดยยกเลิกวันชาติ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายนเสีย

ดังนั้น นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ประเทศไทยจึงได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันชาติ” ของไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ตามปกติ การจัดงาน “วันชาติ” ของประเทศต่างๆก็จะมีกิจกรรมและรูปแบบแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ก็มักจะมีการกล่าวสุนทรพจน์ การจัดขบวนพาเหรดเฉลิมฉลอง การจุดพลุดอกไม้ไฟอย่างเอิกเกริก รวมไปถึงการแสดงมหรสพต่างๆ เป็นต้น แต่ในประเทศไทย เนื่องจากวันชาติ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา และวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งมีกิจกรรมเฉลิมฉลองอยู่แล้ว กอปรกับประเทศไทยยังไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน และคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็คุ้นชินกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างที่เห็นกันอยู่ปัจจุบัน

ดังนั้น “วันชาติ” ของเราจึงดูเหมือนไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก เพราะชาวไทยทุกหมู่เหล่าล้วนตัองการจัดกิจกรรมเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พ่อหลวงของแผ่นดิน” มากกว่าประเด็นอื่น อย่างไรก็ดี หากเราจะระลึกว่าวันนี้ ก็เป็น “วันชาติ”ของไทยด้วย แล้วจัดกิจกรรมต่างๆที่จะแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อ “ประเทศชาติ” ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และความเสียสละมาอย่างยาวนานเช่นไร ก็อาจจะทำให้ วันนี้ มีความหมายครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เพื่อน...คุณรู้จักคำนี้ดีแค่ไหน

>คงไม่มีใครที่จะกล้าลุกขึ้นมาประกาศศักดาว่า
>สามารถยืนอยู่บนโลกนี้ได้โดยลำพัง และปฏิเสธว่า เพื่อน คือ
>สิ่งฟุ่มเฟือยที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์อันยาวนาน
>เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีใครสามารถยืนอยู่บนโลกนี้เพียงคนเดียวได้
>ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเข้มแข็งหรือต่อให้มีขาแข็งสักเพียงไหน
>มันต้องมีสักวัน สักเวลา สักวินาที
>ที่เขาอยากจะทรุดตัวลงนั่งคุยกับใครบางคน
>ซึ่งเขารู้ว่าได้ยืนอยู่ข้างเขาตลอดมา และพร้อมจะอยู่กับเขาตลอดไป
> >สิ่งที่เดินทางมาพร้อมกับเพื่อนและอบอวลอยู่ในคำ ๆ นี้ คือ
>มิตรภาพ ซึ่งอาจจะก่อตัวขึ้นได้ทุกขณะ
>ตั้งเค้าเร็วกว่าพายุดีเปรสชั่นใด ๆ
>เพียงแค่ตาสบตา ริมฝีปากกระตุกทำมุมน่ารักกับใบหน้า
>เชื่อไหมว่าแค่นี้มิตรภาพก็เดินทางมาถึงแล้ว
>มิตรภาพมีความหมายและความสำคัญกับชีวิต ยิ่งใหญ่
>เพราะมันเริ่มต้นจากการให้ และสามารถสิ้นสุดลงด้วยเข้าใจ
>ไม่เหมือนกับความรักที่มักเริ่มจากการให้ ดำเนินต่อไปด้วยการเรียกร้อง
>และมักจะสิ้นสุดด้วยการมองหน้ากันไม่ติด
> >ฉันไม่ใช่คนมีเพื่อนมาก
>เพราะถือว่าเพื่อนไม่ใช่ฟุตบอลที่เมื่อลงสนามก็ต้องรีบวิ่ง
>ไปยิงประตูทำแต้มให้ได้มากที่สุดก่อนหมดเวลา
>เพื่อนไม่กฎกติกา มิตรภาพไม่มีการพักครึ่งหรือหมดเวลา
>และความสัมพันธ์ไม่มีคำว่าแพ้ชนะ ฉันจึงไม่รีบร้อนที่จะมีเพื่อน
>มันเป็นเรื่องง่ายในการที่จะหาเพื่อนใหม่
>แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะรักษามิตรภาพระหว่างเรากับเพื่อนให้คงอยู่ตลอดไป
>เพราะเพื่อนเป็นสสารที่แปลก ยิ่งคบกันนาน ก็ยิ่งเปราะบาง
>และง่ายต่อการแตกหัก
> >มิตรภาพของเพื่อนที่เติบโตไปพร้อมกับวันเวลาในการคบหา
>ทำให้คนสองคน (หรือมากกว่านั้น) สนิทกันมากขึ้น
>จนบ่อยครั้งความสนิทก็ได้ทำให้เราละเลยหรือมองข้ามอะไรบางอย่างไป
>บ่อยครั้งความสนิททำให้เราทำร้ายจิตใจเพื่อนโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
>หรือโดยที่เราไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
>บางครั้งเราอาจจะปรับความเข้าใจกันได้
>แต่ก็มีไม่น้อยที่มันลุกลามและรุนแรงเกินที่เราจะไหวทัน
>และกว่าจะรู้ตัวมันก็ทำลายอะไรต่อมิอะไรย่อยยับลงไปหมดแล้ว
>ทั้งนี้ทั้งนั้นเชื่อไหมว่าบางทีมันอาจจะเกิดเพราะคำมักง่ายที่พลั้งปากไปเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเอง
> >ฉันเคยเห็นเพื่อนที่คบกันมาเกือบสิบปี
>เลิกคบกันเพียงเพราะอีกคนลืมนัด และทิฐิเกินกว่าจะขอโทษ
>และอีกคนก็ใจแข็งเกินกว่าจะยอมให้อภัย อาจจะดูงี่เง่า
>(ซึ่งฉันก็ว่ามันงี่เง่า) แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ก็อย่างที่บอก
>เพื่อนเป็นสสารที่แปลก ยิ่งคบกันนาน ก็ยิ่งเปราะบาง
>และง่ายต่อการแตกหัก
>อย่าให้ความสนิทเป็นดาบสองคมที่จะทำลายมิตรภาพและคำว่าเพื่อนลงเลย
> >มันอาจจะง่ายในการที่เราจะหา “เพื่อนใหม่”สักคน
>แต่มันยากกว่านะ ที่เราจะมี “เพื่อนเก่า”สักคน “เพื่อน”
>ได้ยืนอยู่ข้างเราตลอดมา และพร้อมจะอยู่กับเราตลอด

นิทานความรัก: ความรักของ...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าชายองค์หนึ่ง

เขาได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลก

เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ท่องเที่ยวไปหลายประเทศ

จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเจอเจ้าหญิงองค์หนึ่ง


เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต

ทำให้เขาหลงรักเธอ และอยากได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต

แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้...

มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน

แต่การที่จะแต่งงานกับเธอได้ต้องผ่านการทดสอบมากมายนานนัปประการ

ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถผ่านการทดสอบเลือกคู่มาได้แต่เพียงผู้เดียว

ทว่า... ก่อนที่เขาจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงนั้น

มีมังกรท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งได้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป

เขาได้ออกตามล่าเจ้ามังกรจนตามทันและขับไล่มันได้สำเร็จหลังจากที่ต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด

และได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและอยู่อย่างมีความสุขที่ปราสาทของตน...

The Princess...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง

เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก

เธออยู่ในอาณาจักรที่ห่างไกลและเจริญรุ่งเรือง

เธอชอบออกไปเดินเล่นในป่าเป็นประจำด้วยความรักที่มีต่อธรรมชาติ

จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับพ่อมดรูปงามคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น

ทำให้เธอหลงรักเขา และอยากอยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิต

แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้...

มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน

พวกเขาได้ฝ่าฝันกับการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาซึ่งเป็นพ่อของเธอ

ซึ่งในที่สุดก็มีเจ้าชายคนหนึ่งที่สามารถผ่านการทดสอบมาได้แต่เพียงผู้เดียว

ทว่า... เธอไม่ได้รักเจ้าชาย เธอไม่อยากแต่งงานกับเขา ต่อให้พ่อมดจะมีหน้าตาน่ารังเกียจกว่าเจ้าชาย เธอก็ยินดีที่จะเลือกพ่อมดมากกว่าเสียอีก

ก่อนวันแต่งงาน เธอขอร้องให้พ่อมดคนที่เธอรักส่งมังกรมาพาตัวเธอไปให้ไกลๆ

แต่เจ้าชายก็ตามมาทันพร้อมทั้งสู้กับมังกรจนกระทั่งมันพ่ายแพ้บินหนีไปและพาตัวเธอกลับไป

เธอไม่มีโอกาสได้เจอกับคนที่เธอรักอีกเลย ถึงได้แต่งงานแต่ก็ไม่มีความสุข...

The Wizard...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง

เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาก

เขาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาณาจักรมากนัก

ซึ่งในอาณาจักรนั้นมีเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลกอยู่ด้วย

เขาแอบชอบเจ้าหญิงมานานแล้วแต่เพราะหน้าตาไม่สู้จึงฝึกฝนเวทมนตร์เพื่อเป็นพ่อมด

และก็หาโอกาสออกมาพบกับเจ้าหญิงจนได้

เขาได้ใช้เวทมนตร์เสกให้รูปกายให้งดงามยิ่งกว่าผู้ชายคนไหนในโลก

ซึ่งเจ้าหญิงก็ตกหลุมรักเขา เขาตั้งใจว่าจะให้เธอรักเขาก่อนแล้วค่อยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง

แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้...

เขาเกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าเธอเห็นหน้าตาจริงๆ ของเขาแล้วเธออาจจะรับไม่ได้

เขาก็เลยรู้สึกท้อใจ และคิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่

จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งผ่านการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาได้

ทว่า... ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าชายเลย

ก่อนวันแต่งงาน เธอเข้ามาของร้องให้เขาพาเธอไปไกลๆ เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน

เขาก็เลยเห็นว่าน่าจะเป็นการดีเลยส่งมังกรพาตัวเธอไปแล้วให้เจ้าชายไปช่วยเพื่อที่จะให้เธอเห็นว่ามีคนที่ดีกว่าเขา

เขาสั่งให้มังกรออมมือให้เจ้าชายและหนีทันทีที่เห็นว่าสู้มานานพอแล้ว แล้วเธอก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายในที่สุด...



"หวังว่าเธอคงจะมีความสุขนะ..."

"การดูแลผมแตกปลาย"

ผมแตกปลายเกิดขึ้นเมื่อชั้นของเซลล์ของเส้นผมแตกแยกตัวออกจากกัน ไม่มีวิธีที่จะทำให้ชั้น ที่แตกแยกออกจากกันนี้กลับมาสมานสนิทได้ถาวร ครีมนวดผม (conditioner) จะทำให้เส้นผมที่ แตกปลายกลับมาสมานกันได้เพียงชั่วคราวเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างมากก็แค่ไม่กี่วัน โดยทั่วไปเมื่อสระผมครั้งต่อไปผมก็จะแตกปลายอีก

จึงต้องใช้ครีมนวดผมอย่างสม่ำเสมอ วิธีใช้ครีมนวดผมคือใช้หลังสระผมแล้วชโลมครีมนวดผมทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วล้างออก หรือครีมนวดผมอีกแบบที่ใช้หลังสระผมโดยซับผมให้หมาดๆ แล้วชโลมครีมทิ้งไว้เลยโดยไม่ต้องล้างออก นอกจากนั้นหลังสระผม อย่าขยี้ผมแรงๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับผมให้แห้ง อย่าหวีผมหรือแปรงผมขณะที่ผมยังเปียกอยู่

ถ้าจะใช้เครื่องเป่าผมก็อย่าตั้งอุณหภูมิสูง เพราะจะทำลายเส้นผมทำให้ผมแตกปลายได้ง่ายขึ้น อย่าย้อมผม ดัดผม ยืดผมบ่อยเกินไปเพราะทำให้เส้นผมแตกปลายได้ง่าย โดยทั่วไปเส้นผมของคนเราหลังตัดครบ 1 เดือนจะเริ่มยาวไม่สม่ำเสมอ และมีผมแตกปลาย ดังนั้นการไปพบช่างตัดผมอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้เรือนผมดูสวยงามอยู่เสมอนะครับ วิธีแก้ไขผมแตกปลายที่ดีที่สุดก็คือตัดส่วนปลายผมที่แตกปลายออก ดังนั้นคนที่ไว้ผมสั้นจะมีปัญหาเรื่องผมแตกปลายน้อยกว่าคนที่ไว้ผมยาว

ส่วนอาหารวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ได้แก่

ธาตุเหล็ก - พบในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ผักขม

กลุ่มของวิตามินบี - พบในจมูกข้าว ถั่ว ไข่ ถั่วเหลือง กล้วย

กรดอะมิโน เช่น ซิสเตอีนและเม็ทไทโอนีน ซึ่งมีส่วนประกอบของกำมะถันที่ จะทำให้เซลล์ เส้นผมเชื่อมติดกันแน่น พบในถั่ว เม็ดธัญพืช ไข่ เนื้อ

สังกะสี - พบในเนยแข็ง ข้าวซ้อมมือ ปลาซาร์ดีน และขนมปังข้าวไรย์

ซีลีเนียม - พบในเนยแข็ง Cheddar กุ้ง แครอท

สำหรับวิธีการสระผมที่ถูกต้องนั้น มีขั้นตอนคือ

1. ปล่อยให้ผมสยายลงมาตามธรรมชาติขณะสระผม นั่นคือสระผมในท่ายืนสระใต้ฝักบัว หรือก้มสระในอ่างอาบน้ำ

2. ใช้น้ำอุ่นชะล้างเส้นผมก่อนที่จะลงแชมพู

3. เอาแชมพูใส่ฝ่ามือ กะปริมาณแชมพูให้พอเกิดฟองได้หมดทั้งศีรษะ

4. ฟอกเส้นผมและหนังศีรษะด้วยแชมพู เริ่มที่หนังศีรษะก่อนใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบาๆ อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้แรงๆ

5. ใช้น้ำสะอาดล้างแชมพูออก โดยใช้นิ้วมือล้างแชมพูออกตั้งแต่โคนเส้นผมไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้แรงๆ เพราะเส้นผมจะได้รับอันตรายจากแรงเสียดสี

สำหรับการใช้ครีมนวดผมนั้น มีขั้นตอนดังนี้

1. สระผมล้างแชมพูออกอย่างหมดจด อย่าให้มีฟองแชมพูตกค้าง

2. เทครีมนวดผมใส่ฝ่ามือ

3. ฟอกครีมนวดผมกับเส้นผม ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ครีมนวดผมให้ทั่วเส้นผมแล้วทิ้งไว้ 1-2 นาที

4. ล้างครีมนวดผมออก โดยให้น้ำชะล้างครีมนวดผมตั้งแต่โคนไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้เส้นผมขณะผมเปียก

สำหรับการเช็ดผมให้แห้ง มีขั้นตอนคือ

1. ใช้ผ้าขนหนูสะอาด ที่แห้งสนิท ซับเส้นผมที่เปียกน้ำ

2. ในขณะที่ผมยังชื้นอยู่ ใช้แปรงหรือหวีสางผมที่พันกันหรือยุ่งเหยิง โดยแปรงเบาๆ จากปลายเส้นผม และค่อยๆ สูงขึ้นไปสู่โคนเส้นผม

3. ใช้มูสหรือเจลตามที่ชอบ แต่อย่าใช้มากเกินไป

4. ควรปล่อยให้เส้นผมแห้งสนิทตามธรรมชาติ

5. หากมีเวลาจำกัด ไม่สามารถรอให้ผมแห้งตามธรรมชาติได้ ก็ต้องใช้เครื่องเป่าผม โดยใช้เครื่องเป่าผมเมื่อซับผมด้วยผ้าขนหนูก่อน

6. ควรใช้ความร้อนและความแรงของเครื่องเป่าที่สปีดต่ำสุด

7. การเป่าผมต้องเคลื่อนไหวไปทั่วศีรษะ อย่าจ่อเป่าให้แห้งทีละจุดๆ เพราะจะทำให้ เส้นผมและหนังศีรษะเกิดอันตราย

เส้นผมของคุณจะแลดูสวยเป็นเงางามก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลบำรุงรักษาทุกวัน ร่วมไปกับการกินอาหารที่ดีและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมถึงพยายามลดความเครียดลงด้วย เพราะความเครียดทำให้ผมหลุดร่วงได้

ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อให้เส้นผมไม่แตกหักง่ายและดูเงางามอ่อนนุ่มสลวยอยู่เสมอมีดังนี้

1 หวีและแปรงผมให้น้อยลง ความเชื่อที่ว่าควรแปรงผมวันละ 100 ครั้ง นั้นเป็นความเชื่อ ที่ผิด และไม่ควรใช้หวีหรือแปรงที่มีขนแหลมคม หรือที่ทำจากโลหะหรือพลาสติก ควรใช้หวีที่ทำจากขนสัตว์ธรรมชาติ

2. ไม่ควรแปรงผมย้อนไปด้านหลังหรือยีผมแรงๆ (ควรหวีผมตามแนวเส้นผม)

3. ไม่รัดผมให้แน่นหรือถักเปียแน่นจนเกินไปนัก รวมทั้งการสวมหมวกที่คับเกินไป หรือพันผ้าคาดศีรษะจนแน่น

4. ควรใช้แชมพูอ่อนๆ สระผม หลังสระควรใช้ครีมนวดหรือครีมปรับสภาพเส้นผม และไม่ควรสระผมและเป่าผมให้แห้งบ่อยครั้งเกินไป

5. เล็มปลายเส้นผมที่แตกปลายทิ้ง

นอกจากนี้ยังพบว่าสารเคมีเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นผมหักได้บ่อยที่สุด เพราะเมื่อชั้นนอกสุดของเส้นผมถูกสารเคมีอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะจากยาย้อมผม ยากัดสีผม ยาดัดผม หรือยาเหยียดผม ยายืดผมตรง สารเคมีในตัวยาเหล่านี้จะทำให้เส้นผมแห้งและแข็งกระด้าง จึงควรใช้น้ำยา เหล่านี้เมื่อจำเป็นและไม่ควรใช้บ่อยครั้ง

Le coup d’État (การก่อรัฐประหาร)....

Le coup d’État (การก่อรัฐประหาร)....

Le schéma du coup d’État du 18 Brumaire (9 novembre 1799) prévoit les opérations suivantes : Bonaparte aura le commandement en chef de l’armée pour le maintien de l’ordre dans Paris et dans les assemblées. On envisage de déplacer les assemblées au château de Saint-Cloud sous le prétexte d’un péril jacobin. En effet, depuis 1789, les assemblées se trouvent toujours sous la menace de la population parisienne.

L'essentiel des événements se déroule le 19 brumaire à Saint-Cloud. Les révisionnistes avaient envisagé une démission collective des cinq directeurs, mais les assemblées ont du retard car cette idée ne fait pas l’unanimité ; Bonaparte s’impatiente et décide d’intervenir.

Il tient un discours maladroit devant le Conseil des Cinq-Cents, discours hué par les députés qui l’accusent de vouloir instaurer la dictature. Bonaparte est alors contraint de quitter l’assemblée. Mais il prend rapidement la situation en main avec l’aide de son frère Lucien qui préside les cinq-cents. Lucien évite que Napoléon soit mis en cause par les députés qui veulent voter pour mettre hors-la-loi Bonaparte. Lucien retarde le vote et va chercher Murat qui vient avec la troupe et met de l’ordre dans les assemblées, disant que certains députés voulaient poignarder Bonaparte pour justifier une intervention de l’armée.

Les représentations des députés sortant par les fenêtres et voulant poignarder Napoléon sont très répandues. Bonaparte est de fait l’homme fort de la situation, qui fait basculer un coup d’État parlementaire en un coup d’État militaire.
Mais Bonaparte reste attaché aux formes juridiques et dans la soirée du 19 Brumaire, les députés restent à Saint-Cloud pour voter la décision de nommer deux commissions pour préparer une nouvelle constitution. On constate alors une volonté d’appuyer le régime sur le vote des représentants du peuple.


Bonaparte, Premier consul, par Jean Auguste Dominique IngresLe 20 brumaire les trois Consuls sont désignés : Bonaparte, Sieyès et Ducos. C’est le début du Consulat. Roger Ducos est tout acquis à Bonaparte, alors que Sieyès lui n’entend pas se résigner à abandonner le pouvoir à Bonaparte seul. Il entend bien jouer un rôle dans le gouvernement du Consulat. Pour contrecarrer son encombrant collègue, Bonaparte, multipliant les provocations, maintient aux portefeuilles ministériels les ennemis de Sieyès en offrant les relations extérieures à Talleyrand et celui de la Police à Fouché.

Le travail de rédaction de la Constitution est confié officiellement à deux commissions législatives formées de députés des Cinq-Cents et des Anciens. Mais en fait, c’est Sieyès qui va proposer un projet. À l’examen, le projet s’avérera trop complexe, voire irréaliste. En effet, il prévoit l’instauration d’un régime démocratique fondé sur un pouvoir législatif fort représenté par trois chambres. L’exécutif sera, quant à lui, réduit à une magistrature à vie purement honorifique et à deux consuls aux fonctions limitées.

Bonaparte profite des faiblesses de ce plan pour imposer son propre projet et se débarrasser de son encombrant rival. Du 4 au 13 décembre 1799, il réunit ainsi les deux commissions dans son bureau pour élaborer le texte de la nouvelle constitution.

La Constitution de l’an VIII est adoptée en comité restreint le 13 décembre 1799. Elle s’inspire en partie du projet de Sieyès, mais intègre les idées politiques de Napoléon Bonaparte, notamment concernant le pouvoir exécutif. Sieyès, lui-même, sera chargé de désigner les trois consuls de la république: Bonaparte comme premier consul, puis Cambacérès et Lebrun, comme 2e et 3e consuls de la République. Sieyès, quant à lui, sera relégué au poste de président du Sénat.

« Lorsque je me mis à la tête des affaires, la France se trouvait dans le même état que Rome, lorsqu’on déclarait qu’un dictateur était nécessaire pour sauver la République » (Bonaparte).

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2550

Bonjour Bonjour

มาอัพแล้วนะ แต่ไม่ค่อยเห็นใครเข้ามาดูเลย น้อยใจเหมือนกันนะ แต่ไม่เป็นไรเราเอารูปบ้านของเรามาให้เพื่อน ๆ ดูหวังว่าเพื่อน ๆ คงสนใจนะ








Campagne d'Égypte.(ปฏิบัติการในอียิปต์)




À son retour d’Italie, en décembre 1797, Bonaparte est accueilli comme un héros par le Directoire qui organise une cérémonie officielle pour célébrer la paix de Campo-Formio. Il est nommé membre de l'Institut dans la classe de mathématiques. En février 1798, le Directoire soumet à Bonaparte l'idée d'une invasion de l'Angleterre. Il inspecte les côtes françaises de Boulogne, Calais et Dunkerque, en vue de la réalisation du projet. Sa popularité auprès des Français est de plus en plus importante. Le 23 février 1798, le gouvernement abandonne le projet d'invasion de l'Angleterre sur les conseils de Bonaparte, qui, lui-même influencé par Talleyrand, persuade alors le Directoire de porter la guerre en Égypte, où il pourra couper la route des Indes à la Grande-Bretagne. Le 24 février 1798, le rapport est présenté à Barras ; le 5 mars, inquiet de la popularité de Bonaparte, le Directoire le charge de mener l'expédition en Égypte, avec aussi l'idée de s'en débarrasser.

En avril 1798 est créée l’armée d’Orient, placée sous les ordres de Bonaparte. Des scientifiques formant l’Institut d’Égypte l'accompagnent. Il est, en outre, accompagné des généraux Kléber, Desaix, Murat, Lannes, Davout et Caffarelli.

Le 19 mai 1798, Bonaparte quitte Toulon avec le gros de la flotte française et parvient à échapper à la poursuite de la flotte britannique de Nelson. Au passage, les Français s’emparent de Malte, le 10-11 juin 1798, pour assurer les communications ultérieures avec la métropole. Le 19 juin 1798, après avoir laissé une garnison de 3 000 hommes sur place, la flotte met le cap sur Alexandrie qu’elle atteint le 1er juillet 1798. Après une courte résistance, la ville est prise le lendemain.

Bonaparte laisse 3 000 hommes à Alexandrie et remonte le Nil vers Le Caire. Le premier véritable combat de la campagne d'Égypte a lieu à Chebreïs le 13 juillet 1798 où les cavaliers mamelouks sont défaits, grâce à l’artillerie de l’armée d’Orient. Le 21 juillet 1798, à la bataille des Pyramides de Gizeh, Bonaparte bat à nouveau l’armée des mamelouks. Le 24 juillet 1798, Bonaparte et son armée entrent triomphalement au Caire. Les 1er et 2 août 1798, la flotte française est presque entièrement détruite à Aboukir par les navires de Nelson. Désormais, les Britanniques sont maîtres de la Méditerranée et Bonaparte est prisonnier de sa conquête. Suite à cette défaite, les Turcs, le 9 septembre 1798, déclarent la guerre à la France. Il faut rappeler qu’à cette époque l'Égypte fait partie de l'empire ottoman, comme la majorité du Moyen-Orient.

Pendant qu’il décide de faire de l'Égypte un véritable État capable de vivre en autarcie, Bonaparte envoie le général Desaix poursuivre Mourad Bey jusqu’en Haute-Égypte, complétant ainsi la soumission du pays. Poussé par les Britanniques et les Turcs, les mamelouks survivants travaillent la population du Caire, qui se révolte le 21 octobre 1798 contre les Français. Cette révolte est impitoyablement réprimée par les troupes. Le calme revient et Bonaparte rétablit la situation en décrétant finalement une amnistie générale, non sans avoir fait couper bon nombre de têtes exhibées à la foule terrorisée et canonner la Grande Mosquée du Caire.

En février 1799, Bonaparte se déplace en Syrie pour affronter les troupes ottomanes que le Sultan a envoyées pour attaquer les Français en Égypte. Le 10 février 1799, Bonaparte quitte le Caire avec son armée et bat les Turcs aux combats d’El-Arich et de Gaza. Le 7 mars 1799, la ville de Jaffa est prise et pillée par les Français. C’est à ce moment-là que la peste apparaît dans les rangs des Français.

Le 19 mars 1799, Bonaparte met le siège devant Saint-Jean d’Acre. Le 13 avril 1799, les cavaliers de Junot mettent en déroute les cavaliers ottomans à la bataille de Nazareth et le 16 avril 1799, Bonaparte et Kléber écrasent l’armée turque de secours envoyée par le Sultan pour libérer le siège de Saint-Jean d’Acre à la Bataille du Mont-Thabor. Bien que victorieuse à cette bataille, le 16 avril 1799, l’expédition en Syrie sera décimée par la peste puis arrêtée à Acre.

De retour à Acre, Bonaparte essayera en vain, du 24 avril au 10 mai 1799, de prendre la ville. Le 17 mai 1799, Bonaparte décide d’abandonner le siège et retourne en Égypte. Le 14 juin 1799, il arrive au Caire et, dans un retournement de situation, bat les Turcs le 25 juillet 1799 à la bataille d'Aboukir.

La situation du Directoire lui paraissant favorable à un coup de force, Bonaparte, qui n’a plus qu’une armée de terre affaiblie, ayant perdu sa marine, abandonne le commandement de l’armée d’Égypte à Kléber.

ในปี พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) สมัชชาการปฏิวัติแห่งชาติฝรั่งเศส ได้กังวลต่อกระแสความนิยมที่ประชาชนมีต่อนโปเลียนที่เพิ่มสูงขึ้น จึงได้บัญชาการให้เขานำทัพบุกอียิปต์ โดยอ้างว่าฝรั่งเศสต้องการเข้าครองครองดินแดนตะวันออกใกล้ และตะวันออกกลางเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของอังกฤษไปยังอินเดีย เนื่องด้วยนโปเลียนชื่นชมยุคแสงสว่างอยู่แล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจนำคณะนักวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขาร่วมทัพไปกับเขาด้วย และจัดตั้งสถาบันอียิปต์ศึกษาขึ้น หนึ่งในเจ้าหน้าที่หนุ่มผู้ชาญฉลาดที่ร่วมเดินทางไปกับเขา ชื่อปิแอร์-ฟร็องซัวส์-ซาวิเย บูชาร์ด ได้ค้นพบศิลาจารึกแห่งโรเซตตา ที่ทำให้นักอียิปตวิทยา ฌอง-ฟร็องซัวส์ ช็องโปฺลลิยอง สามารถถอดรหัสอักษรไฮโรกลิฟฟิก ได้ในเวลาต่อมา

หลังจากที่มีชัยในการรบที่ มองต์ ตาบอร์ (ฝรั่งเศสต้องการยึดเมืองในอียิปต์คืนจึงรบกับตุรกีที่มีอังกฤษหนุนหลัง) เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) การเดินทัพต่อไปยังซีเรียของนโปเลียนต้องชะงักเนื่องจากการระบาดของกาฬโรค อันเป็นเหตุให้มีประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก นโปเลียนได้เข้าจัดการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อกาฬโรคที่เมืองจาฟฟาเท่าที่สามารถทำได้

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) นโปเลียนมีชัยต่อกองกำลังมาเมอลุก (ทาสรับใช้กาหลิบของจักรวรรดิออตโตมัน) ในการรบที่พีระมิด ในสงครามเอ็มบาเบห์ ทำให้ชื่อของเขาขจรขจายไปไกล แต่การพ่ายแพ้ของเขากลับไม่เป็นที่กล่าวถึง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม และ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) ทัพเรือของฝรั่งเศสที่นำนโปเลียนถูกกองเรือของโฮราชิโอ เนลสัน (ของอังกฤษ) ทำลายเกือบย่อยยับในการรบที่อ่าวอาบูกีร์

สถานการณ์ระหว่างนโปเลียนกับสมัชชาแห่งชาติดีขึ้น ทำให้เขาสละตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพอียิปต์ให้กับฌอง-บัพติส เกลฺแบร์ และเดินทางกลับฝรั่งเศส ตลอดเส้นทางกลับกรุงปารีส นโปเลียนได้รับเสียงโห่ร้องชื่นชมจากประชาชนในฐานะวีรบุรุษ ส่วนฌอง-บัพติส เกลฺแบร์ ต้องพ่ายการรบเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2344 (ค.ศ. 1801) หลังจากเสียนายทหารไปกว่า 13,500 นาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหยื่อของโรคระบาด

มาดูรูปบ้านสวย ๆ ของอุ๋ยกันดีกว่า



คิตตี้บินตรงจากญี่ปุ่น



ประตุกันขโมย



ห้องนอนหนู



ประตูบ้าน




ห้องรับแขก

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550

มาดูรูปสวย ๆ ของมัลดีฟกันดีกว่า



สาธารณรัฐมัลดีฟส์ (Republic of Maldives) เป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการังจำนวนมาก ในมหาสมุทรอินเดีย และตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของ ประเทศอินเดียและศรีลังกา
เพื่อน ๆ คงเห็นถึงความสวยงามของเกาะมัลดีฟกันแล้ว ก็คงอยากจะไปเที่ยวกันล่ะสิ งั้นก็ต้องเก็บตังค์ให้ได้เยอะ ๆ นะจะได้ไปเที่ยวที่สวย ๆ

คำศัพท์สัตว์ภาษาฝรั่งเศสมาแล้ว...ค่ะ (Les animaux)

Mes filles aiment toutes les bêtes [n.f.] [ลูกสาวของฉันชอบสัตว์ทุกชนิด] ,
mais elles aiment moins les insectes [n.m.] [แต่ชอบพวกแมลงน้อยหน่อย]
Elles adorent les poissons rouges [n.m.] [หล่อนชอบปลาสวยงามมาก]
Elles veulent élever des oiseaux [n.m.] mais je préfère les voir en liberté. [หล่อนอยากเลี้ยงนกด้วย แต่ฉันอยากเห็นมันอยู่เป็นอิสระมากกว่า]

Beaucoup de personnes âgées ont des chiens [n.m.] ou des chats [n.m.] pour leur tenir compagnie.
[คนสูงอายุเป็นจำนวนมากเลี้ยงสุนัขและแมวไว้เป็นเพื่อน]
- Le chien et le chat sont des animaux domestiques les plus courants. [สุนัขและแมวเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านที่นิยมมากที่สุด]
- Les animaux de la ferme sont aussi domestiques. [สัตว์เลี้ยงในฟาร์มถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้กับคนด้วย]
- Les fauves [n.m.] comme le lion et le tigre sont des animaux féroces. [สัตว์ป่าดุร้ายเช่นเสือและสิงห์โตเป็นสัตว์ที่ดุร้าย]

Les animaux domestiques et les animaux de la ferme [สัตว์เลี้ยงในบ้าน และ สัตว์เลี้ยงในฟาร์ม]

chat [n.m] / chatte [n.f] ชา / ชัต(เตอ) แมว
- chaton [n.m] ชา-ตง ลูกแมว
chien [n.m] / chienne [n.f] เชียง / เชียน(เนอ) สุนัข, หมา
- chiot [n.m] ชิ-โอ ลูกสุนัข, ลูกหมา




âne [n.m] / ânesse [n.f.] อาน(เนอ) / อา-แนส(เซอ) ลา
ânon [n.m] อา-นง ลูกลา

boeuf [n.m], boeufs [n.m.pl.], taureau [n.m.], taureaux [n.m.pl.] / vache [n.f] เบิ๊ฟ, เบอ, โต-โร / ว้าช(เชอ) วัวตัวผู้ / วัวตัวเมีย
- veau [n.m], veaux [n.m.pl.] โว ลูกวัว
bouc [n.m] / chèvre [n.f] บูก / แช๊ฟ(เวรอ) แพะตัวผู้ / แพะตัวเมีย
- chevreau [n.m.] เชอ-วโระ ลูกแพะ
buffle [n.m.] / bufflonne [n.f.] บืฟ(เฟลอ) / บืฟ-ฟลอน(เนอ) ควายตัวผู้, ควายตัวเมีย
- buffon [n.m.] บืฟ-ฟง ลูกควาย

canard [n.m] / cane [n.f] กา-นาร์ / กาน(เนอ) เป็ดตัวผูู้้ / เป็ดตัวเมีย
- caneton [n.m] กาน-ตง ลูกเป็ด
cheval [n.m], chevaux [n.m.pl.] / jument [n.f] เชอ-วาล, เชอโว / ชือ-มอง ม้าตัวผูู้้ / ม้าตัวเมีย
- poulin [n.m] / pouliche [n.f] กา-นาร์ / กาน(เนอ) ลูกม้าตัวผูู้้ / ลูกม้าตัวเมีย
cochon [n.m], porc [n.m.] / truie [n.f] โก-ชง, ปอร์ / ทรุย หมูตัวผููู้้้ / หมูตัวเมีย
- cochonnet , porcelet, goret [n.m.] โก-ชอ-เน, ปอร์-เซอ-เล, กอ-เร ลูกหมู
coq [n.m] / poule [n.f] ก๊อก / ปูล(เลอ) ไก่ตัวผู้, ไก่ตัวเมีย
- poulet [n.m] / poulette [n.f] / poussin [n.m.] ปู-เล / ปู-แลต(เตอ) / ปุส-แซง ไก่กระทงตัวผู้ / ไกกระทงตัวเมีย / ลูกเจี๊ยบ

dindon [n.m.] / dinde [n.f.] แดง-ดง / แดง(เดอ) ไก่งวงตัวผู้ / ไก่งวงตัวเมีย
- dindonneau [n.m.], dindonneaux [n.m.pl] แดง-ดอน-โน ลูกไก่งวง

lapin [n.m.] / lapine [n.f.] ลา-แปง / ลา-ปิน(เนอ) กระต่ายตัวผู้ / กระต่ายตัวเมีย
- lapereau [n.m.], lapereaux [n.m.pl.] ลา-เปอ-โร ลูกกระต่าย

mouton [n.m.] , bélier [n.m.] / brebis [n.f.] มู-ตง, เบ-ลิ-เย / เบรอ-บิ แกะ , แกะตัวผูู้้ / แกะตัวเมีย
- agneau [n.m.], agneaux [n.m.pl.] อา-โย ลูกแกะ

oie [n.f.] / jars [n.m.] อัว / ชาร์ ห่านตัวเมีย / ห่านตัวผู้
oison [n.m.] อัว-ซง ลูกห่าน


Les animaux sauvages [สัตว์ป่า์, สัตว์ที่อยู่ตามธรรมชาติ]

abeille [n.m.] อะ-แบย(เยอ) ผึ้ง
aigle [n.m.] แอ๊ก(เกลอ) นกอินทรี
- aiglon [n.m.] แอ๊ก-กลง ลูกนกอินทรี
araignée [n.f.] อา-แรน-เย่ แมงมุม
autruche [n.f.] โอ-ทรืช(เชอ) นกกระจอกเทศ
- autruchon [n.m.] โอ-ทรือ-ชง ลูกนกกระจอกเทศ

baleine [n.f.] บา-แลน(เนอ) ปลาวาฬ
blaireau [n.m.], blaireaux [n.m.pl] บแล-โร ชะมด
belette [n.f.] เบอ-แล๊ต(เตอ) พังพอน
bestiole [n.f.] แบส-ติ-ออล(เลอ) แมลงปีกแข็ง

calamar (หรือ) calmar [n.m.] / seiche [n.f.] กา-ลา-มา (หรือ) กาล-มา / แซช(เชอ) ปลาหมึก
castor [n.m.] กาส-ตอร์ ตัวบีเวอร์
cerf [n.m.] / biche [n.f.] แซร์ / บิช(เชอ) กวางตัวผู้ / กวางตัวเมีย
- faon [n.m.] ฟอง ลูกกวาง
chameau [n.m.] / chamelle [n.f.] / dromadaire [n.m.] ชา-โม / ชา-แมล(เลอ) / โดร-มา-แดร์ อูฐตัวผู้ / อูฐตัวเมีย / อูฐ(พันธุ์ที่มีโหนกเดียวกลางหลัง)
- chamelon [n.m.] ชา-เมอ-ลง ลูกอูฐ
chamois [n.m.] ชา-มัว เลียงผา
chauve-souris [n.m.] โช๊ฟ-ซู-ริ ค้างคาว
chevreuil [n.m.] เชอ-วเรย อีเก้ง, กวาง
chimpanzé [n.m.] แชง-ปอง-เซ ลิงชิมแพนซี
coccinelle [n.f.] ก๊อก-ซิ-แนล (แมลง)เต่าทอง
colombe [n.f.] โก-ลง(เบอ) นกพิราบขาว
coquillage [n.m.] โก-กิ-ยาช(เชอ) หอย
corbeau [n.m.] กอร์-โบ (นก) อีกา
crabe [n.m.] คราบ(เบอ) ปู
crapaud [n.m.] ครา-โป คางคก
crevette [n.f.] เครอ-แว๊ต(เตอ) กุ้ง
crocodile [n.m.] โคร-โค-ดิล(เลอ) จรเข้

daim [n.m.] แด็ง กวางทราย
dauphin [n.m.] โด-แฟง ปลาโลมา

écureuil [n.m.] เอ-กือ-เรย กระรอก
éléphant mâle [n.m.] / éléphant femelle [n.f.] เอ-เล-ฟอง มาล(เลอ) / เอ-เล-ฟอง เฟอ-แมล(เลอ) ช้างตัวผู้ / ช้างตัวเมีย
- éléphanteau [n.m.] เอ-เล-ฟอง-โต ลูกช้าง
éléphant de mer [n.m.], phoque [n.m.], otarie [n.f.] เอ-เล-ฟอง เดอ แมร์, ฟ๊อก(เกอ), ออ-ตา-รี แมวนํ้าขนาดใหญ่ หรือ สิงโตทะเล, แมวนํ้า
escargot [n.m.] แอส-การ์-โก หอยทาก

faisan [n.m.] / faisane [n.f.] เฟอ-ซอง / เฟอ-ซาน(เนอ) ไก่ฟ้าตัวผู้ / ไก่ฟ้าตัวเมีย
- faisandeau [n.m.] เฟอ-ซอง-โด ลูกไก่ฟ้า
faucon [n.m.] โฟ-กง เหยี่ยว
fourmi [n.f.] ฟูร์-มิ มด

gazelle [n.f.] กา-แซล(เลอ) สัตว์ชนิดเนื้อทราย
girafe [n.f.] ชิ-ราฟ(เฝอ) ยีราฟ
- girafon [n.m.], girafeau [n.m.] ชิ-ราฟง, ชิ-รา-โฟ ลูกยีราฟ
gorille [n.m.] กอ-ริล(เลอ) ลิงกอริลลา
grenouille [n.f.] เกรอ-นุย(เยอ) กบ
guêpe [n.f.] แก๊ป(เปอ) ตัวต่อ

hérisson [n.m.] เอ-ลิส-ซง เม่น
hibou [n.m.] อิ-บู นกฮูก นกเค้าแมว
hippopotame [n.m.] อิป-โป-โป-ตาม(เมอ) ฮิปโปโปเตมัส
hirondelle [n.f.] อิ-รง-แดล(เลอ) นกนางแอ่น
huître [n.f.] อือ-อิต(เทรอ) หอยนางรม

kangourou [n.m.] กอง-กู-รู จิงโจ้
kiwi [n.m.] กิ-วิ นกกีวี่

léopard [n.m.] เล-โอ-ปาร์ เสือดาว
lièvre [n.m.] / hase [n.f.] ลิ-แอฟ(เวรอ) / อาส(เซอ) กระต่ายป่าตัวผู้ / กระต่ายป่าตัวเมีย
- levraut [n.m.] เลอ-โวร ลูกกระต่ายป่า
lézard [n.m.] เล-ซาร์ กิ้งก่า, จิ้งจก
lion [n.m.] / lionne ลิ-อง / ลิ-ออน สิงห์โตตัวผู้, สิงห์โตตัวเมีย
- lionceau [n.m.] ลิ-อง-โซ ลูกสิงห์โต
loup [n.m.] ลู หมาป่า
loutre [n.f.] ลูต(เทรอ) นาก

moineau [n.m.] มัว-โน นกกระจอก
mouche [n.f.] มุช(เชอ) แมลงวัน
moule [n.f.] มุล(เลอ) หอยแมงภู่
moustique [n.m.] มุส-ติก(เกอ) ยุง
mulet [n.m.] / mule [n.f.] มือ-เล / มืล(เลอ) ฬ่อตัวผู้ / ฬ่อตัวเมีย

oiseau [n.m.], oiseaux [n.m.pl.] อัว-โซ นก
ours [n.m.] / ourse [n.f.] อูร์ส / อูร์ส(เซอ) หมีตัวผู้, หมีตัวเมีย
- ourson [n.m.] อูร์-ซง ลูกหมี

panthère [n.m.] ปอง-แต(เรอ) เสือลาย
paon [n.m.] / paonne [n.f.] ปอง / ปาน(เนอ) นกยูงตัวผู้ / นกยูงตัวเมีย
papillon [n.m.] ปา-ปิ-ยง ผีเสื้อ
perdrix [n.f.] แปร์-ดริ นกกระทา
perdreau [n.m.] แปร์-โดร ลูกนกกระทา
perroquet [n.m.] แปร์-โร-เก้ นกแก้ว
pigeon [n.m.] ปิ-ชง นกพิราบ
pingouin [n.m.] แปง-กู-แอง นกเพนกวิน

rat [n.m.] / rate [n.f.] รา์ / ร๊าต(เตอ) หนู(พันธุ์ใหญ่)ตัวผู้ / หนู(พันธุ์ใหญ่)ตัวเมีย
renard [n.m.] / renarde [n.f.] เรอ-นาร์ / เรอ-นาร์ด หมาจิ้งจอกตัวผู้ / หมาจิ้งจอกตัวเมีย
renne [n.m.] แรน(เนอ) กวางเรนเดีียร์(กวางลากเลื่อน)
requin [n.m.] เรอ-แกง ปลาฉลาม
rhinocéros [n.m.] ริ-โน-เซ-รอส แรด
rongeurs [n.m.pl.] รง-เชอ สัตว์จำพวกกัดแทะเช่นหนู กระรอก

sanglier [n.m.] / laie [n.f.] ซอง-กลิ-เย / แล หมูป่าตัวผู้ / หมูป่าตัวเมีย
- marcassin [n.m.] มาร์-กัส-แซง ลูกหมูป่า
saumon [n.m.] โซ-มง ปลาแซลม่อน
serpent [n.m.] แซร์-ปอง งูี
singe [n.m.] / guenon [n.f.] แซ๊ง(เชอ) / เกอ-นง ลิง / ลิงตัวเมีย
souris [n.f.] ซู-ริ หนู(พันธุ์เล็ก) หนูบ้าน

taupe [n.f.] โตบ(เปอะ) ตัวตุ่น
thon [n.m.] ตง ปลาทูน่า
tigre [n.m.] / tigresse [n.f.] ตีก(เกรอ) / ตี-แกรส(เซอ) เสือตัวผู้ / เสือตัวเมีย
tortue [n.f.] ตอร์-ตือ ูเต่า
tourterelle [n.f.] ตูร์-เตอ-แรล(เลอ) นกเขา
truite [n.f.] ทรุต(เตอ) ปลาเทร๊าท์

vautour [n.m.] โว-ตูร์ แร้ง
vipère [n.f.] วิ-แป(เรอ) ูงูพิษ

zèbre [n.m.] แซบ(เบรอ) ม้าลาย

Expressions ou comparaisons qui font référence aux animaux [สำนวนหรือการเปรียบเทียบที่อ้างอิงถึงสัดว์]

- Il n'y a pas un chat. = [ไม่มีใครอยู่สักคน]
- Il fait un temps de chien. = [อากาศไม่ดีเลย]
- Ces deux frères s'entendent comme chien et chat. = [พี่น้องสองคนนี้เข้ากันไม่ค่อยได้ (ทะเลาะกันยังกับหมากับแมว)]
- Il est doux comme un agneau. = [เขาอ่อนโยนและน่ารักมาก (ยังกับลูกแกะ)]
- Il a un caractère de cochon. = [เขานิสัยแย่มาก (ยังกับหมู)]
- Dans l'autobus à Bangkok, nous sommes serrés comme des sardines en boîte. = [ผู้คนเบียดเสียดกันมาก (ราวกับปลาซาร์ดีนในกระป๋อง)]
- Il est libre comme un oiseau. = [เขาเป็นอิสระ (ราวกับนก)]
- Une hirondelle ne fait pas le printemps. = [(เห็นนกนางแอ่นเพียงตัวเดียวไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ) เห็นเพียงตัวอย่างเดียว จะเหมาเอาว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เลยไม่ได้ คือ อย่าด่วนสรุป]
- Il est muet comme une carpe. = [เป็นคนเงียบมาก (เหมือนปลาคาร์ป)]
- Philippe est heureux comme un poisson dans l'eau. = [ฟิลิปป์มีความสุขมาก (เหมือนปลาได้นํ้า)]
- Cet enfant a une mémoire d'éléphant. = [เด็กคนนี้มีความจำดีเป็นเลิศ (เปรียบเทียบกับช้างที่ฉลาดและมีความจำที่ดี)]
- Elle a un appétit d'oiseau. = [หล่อนกินน้อยมาก (เหมือนนกที่กินได้น้อยในแต่ละครั้ง)]
- Cette femme a une langue de vipère. = [ผู้หญิงคนนี้ปากร้าย ชอบพูดให้ร้ายคนอื่น (เหมือนอสรพิษ)]
- Cette fille a une taille de guêpe. = [หญิงสาวคนนี้เอวบางร่างน้อย (เอวกิ่วเหมือนตัวต่อ)]
- Cet enfant est têtu comme un âne. = [เด็กคนนี้ดื้อรั้น (ยังกับลา)]
- Quand le chat n'est pas là, les souris dansent. = [เมื่อผู้เหนือกว่าไม่อยู่ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะรู้สึกสนุกสนาน และมีควาสุข (แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง)]
- Il est malin comme un singe. = [เขาฉลาดแกมโกงมาก (เหมือนลิงที่เจ้าเล่ห์)]
- Il est rusé comme un renard. = [เขาฉลาดและเจา้เล่ห์มาก (เหมือนสุนัขจิ้งจอก)]
- Il est fort comme un boeuf. = [เขาแข็งแรงมาก (ราวกับวัว)]
- Il est laid comme un pou. = [เขาขี้เหร่มาก (ราวกับตัวหมัด)]
- Il est myope comme une taupe. = [เขาสายตาสั้นมาก (เหมือนตัวตุ่น)]
- Elle est gaie comme un pinson. = [หล่อนร่าเริงมากและอารมณ์ดีเสมอ (เหมือนนกชนิดหนึ่ง)]
- Je suis malade comme une bête. = [ฉันไม่สบายมาก (เหมือนสัตว์)]
- Elle est bête comme une oie. = [หล่อนโง่มาก (ราวกับห่าน)]
- J'ai une faim de loup. = [ฉันหิวมาก (ราวกับหมาป่า)]
- C'est une tête de cochon. = [เขาดื้อรั้นมาก (เหมือนหมู)]
- C'est un troupeau de moutons. = [เป็นคนที่เชื่อฟังอะไรง่ายๆโดยไม่คิด (เหมือนฝูงแกะ)]
- Il a une fièvre de cheval. = [เขามีไข้สูงมาก (เหมือนไข้ของม้า)]
- Il fait un froid de canard. = [อากาศหนาวมาก (ปรกติเป็ดจะเป็นสัตว์ที่ไม่รู้สึกหนาวง่ายๆ แต่ถ้าเป็ดรู้สึกหนาวแสดงว่าอากาศหนาวมาก)]
- Il a versé des larmes de crocodile. = [(เขาหลั่งนํ้าตาจระเข้) เขาแกล้งทำเป็นเสียใจ ถือได้ว่าเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก]

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2550

รูทเบียร์

ประวัติของรูทเบียร์แบ่งได้เป็นสองทฤษฎีด้วยกัน

ในประวัติศาสตร์ รูทเบียร์ปรากฎในนิยายของเช็คสเปียร์หลายครั้ง

ในลักษณะของเบียร์ แต่รสอ่อนและบางกว่า และมีแอลกอฮอล์น้อยกว่า ทำจากสมุนไพร และผลเบอร์รี่

บางคนก็เรียกมันว่า เบิร์ช เบียร์ (Birch Beer), ซาร์สปาริลล่า เบียร์ (Sarsparilla Beer)

หรือจินเจอร์ เบียร์ (Ginger Beer) และมันเป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวไร่ชาวนา ในยุคทศวรรษที่ 18

โดยเฉพาะในช่วงมีปาร์ตี้ หรือการพบปะสังสรรค์ สมาคมกัน




ในประวัติศาสตร์ส่วนมากระบุไว้ว่า รูทเบียร์เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

จากเภสัชกรคนหนึ่ง ที่กำลังคิดค้นสูตรในการผลิตยา ที่ทำจากสมุนไพร

เมื่อนำรากของเบอร์รี่มาผสมกับสมุนไพรหลายชนิดมาผสมกัน ก็กลายมาเป็นรูทเบียร์ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้

(คำว่ารูท คงมาจากรากของเบอร์รี่นั่นเองเนอะ)


สูตรของรูทเบียร์ในตอนแรกนั้น ประกอบด้วยสมุนไพรมากมายได้แก่

juniper, wintergreen, spikenard, pipsissewa, sarsaparilla, vanilla beans,

hops, dog grass, birch bark และ licorice

ในตอนแรกรสชาติของมันค่อนข้างขม เพราะมาจากสมุนไพรล้วนๆ

และเป็นน้ำที่ช่วยในเรื่องสุขภาพ แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดนัก



ต่อมา ชาร์ลส์ ไฮเรส เภสัชกรอีกคนหนึ่งได้พบสมุนไพรจากน้ำชา

เมื่อนำมาผสมกับรูทเบียร์เดิม และผลเบอร์รี่อีกหลายชนิด น้ำชนิดนี้เริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น

และต่อมา ในปี 1893 ก็ได้มีการผลิตออกขาย และกลายเป็นรูทเบียร์ในเวลาต่อมา


สำหรับรูทเบียร์ในปัจจุบัน ไม่มีสูตรที่ตายตัว เพราะตั้งแต่เมื่อก่อนมันก็มีส่วนผสมมากอยู่แล้ว

แต่ที่เราดื่มกันส่วนมากจะเกิดจากการผสมของรสชาติที่หลากหลาย น้ำตาล และก๊าซคาร์บอน ฯลฯ

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2550

อ่านเรื่องซึ้ง ๆ ของแม่กันหน่อยนะ




ณ. ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539 "มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ " โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร คุณครูประจำชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้ เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ

เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์ มิสอุไรพรก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้มิสอุไรพรตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา "ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา" น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดคุณครูก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการเรื่องที่ ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้าทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพรจึงได้ถือโอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้ วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536 หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัด สตูล ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน

ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่ และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก

"ถ้าเป็นพวกนักเรียน น้องตกลงไปอย่างนี้พวกเธอจะทำอย่างไร" มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ "ลูกชาย" ของคุณแม่ท่านนั้น

มิสอุไรพร ดำเนินเรื่องต่อไปทันที "ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร" คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่าง อยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ ก่อน...ที่ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม่ ขาดสะบั้นลง! คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่... ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจน กระดูกหัก ...แต่ไม่ขาดไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...



คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ! คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว! สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ

มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า "นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ" "กล้าหาญมาก " เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า มิสมองหน้า "ลูกชาย" ของคุณแม่ท่านนั้นแล้วบอกต่อว่า
"นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ" เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง "วันนี้เมื่อเธอกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา"


"จริงครับๆ ใช่ครับๆ" เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน "มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ" มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า "ดีมากนักเรียน ตอนนี้พวกเธอคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ "
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ

ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร ? เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจของเด็กคนนี้ลงจน สิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว "ลูกชาย" เข้าไปคุยอีกครั้ง "วันนี้เธอมีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ" เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า "ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ"



รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่ บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย ก่อนไม่มีแม่ให้กอด

น่ากิ๊น น่ากิน



เอาอาหารฝรั่งเศสมาให้ดู เห็นแล้วอยากกินกันไหมล่ะ

ประวัติศาสตร์ชาติที่ภาษาเพราะที่สุดในโลก



ประเทศฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกลในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี

ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจศิลปะ และ วัฒนธรรม ต่อยุโรปเป็นอย่างมาก


ภาพ La Liberté guidant le peuple หรือ เสรีภาพสู่ประชาชน เล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนปฏิวัติฝรั่งเศสฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง

ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจากจักรวรรดิอังกฤษ

ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้งประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน

ฝรั่งเศสยังเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง

Champs E'lysee ถนนสายช้อปปิ้ง


Champs E'lysee

เป็นถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกที่สร้างความรู้สึกที่น่าประทับใจที่สุดในการเดินเล่นชมบรรยากาศสองข้างถนนเพื่อชื่นชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่และร้านสินค้าแบรนด์เนมที่มีชื่อเสียง ความยาวของถนนเส้นนี้จะเริ่มจาก จตุรัสลากงกอร์ด ไปจน ปลาซเดอโกลซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูชัยอาร์ค เดอ ตรีองฟ์ ซึ่งจัดเป็นย่านที่หรูหราที่สุด

ฝั่งตะวันตกของถนนจะเป็นโรงภาพยนต์ โรงละคร คาเฟ่ และร้านสินค้าราคาแพง สุดถนนใกล้จตุรัสลากงกอร์ดจะเป็นสวนชองเซลิเซ่ซึ่งเป็นสวนสวยงามที่มีน้ำพุ และมีอาคารขนาดใหญ่อยู่ทางด้านใต้ เช่น กรองพาเลสและลิตเติลพาเลส สวนชองเซลิเซ่ซึ่งต่อมาได้เป็นบ้านพักของประธานาธิบดีของฝรั่งเศสจะอยู่ทางด้านเหนือ ในปี ค.ศ.1873

ถนนชองเซลิเซ่ได้ถูกใช้ในงานเฉลิมฉลองใหญ่ ๆ เช่น งานวันปีใหม่ของชาวปารีส พิธีสวนสนามของกองทัพในวันที่ 14 กรกฏาคม ตลอดจนเหตุการณ์ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อาทิเช่น วันประกาศอิสรภาพหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือวันเฉลิมฉลองชัยชนะที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998

ในช่วงศตวรรษที่ 16 พื้นที่บริเวณนี้ยังเป็นท้องทุ่งที่ถือว่าอยู่นอกใจกลางกรุงปารีส ในปี ค.ศ.1616 มาเรีย เดอเมดิซีได้ตัดสินใจที่จะปลูกต้นไม้เป็นแนวยาวจากสวนตุยเลอรีไปทางด้านตะวันออก และได้มีการออกแบบต่อเติมและปรับปรุงขยายสวนทวิเลอริสใหม่ แนวทางงเดินของสวนดังกล่าวถูกเรียกว่า “Grande All?e du Roule” หรือ “Grand-Cours” และกลายเป็นสถานที่นิยมและร่วมสมัยในขณะนั้นแต่ก็ยังคงถือว่าอยู่ห่างจากกรุงปารีสเหมือนเดิม และในอีก 27 ปีต่อมาถนนสำหรับเดินเล่นเส้นนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ว่าชองเซลิเซ่ หรือ ดินแดนอันเป็นที่แสนสุขแห่งอังกฤษ (Elysian Fields in English) ชื่อดังกล่าวได้มาจากนิยายของกรีกว่าด้วยเรื่องของ “Elusia” อันหมายถึงสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้กล้า

ในปี ค.ศ.1724 ชองเซลิเซ่ได้ถูกขยายออกไปจนถึงเนินไชล็อท (หรือรู้เรียกในเวลานี้ว่า “เอตวล” ซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูชัยในปัจจุบัน) โดยการออกแบบของ Hittorf ผู้ซึ่งทำการเปลี่ยนแปลงโฉมของจตุรัสลากงกอร์ดใหม่หมด รวมถึงการออกแบบสวนชองเซลิเซ่ สร้างทางเดินด้านข้าง โคมไฟจุดด้วยแก๊ส น้ำพุ และถนนชองเซลิเซ่เริมเป็นที่ดึงดูดใจให้โรงแรมและภัตตาคารต่าง ๆ เข้ามาโดยเฉพาะในปีค.ศ.1900 หลังจากที่รถเมโทรสายที่ 1 ได้วิ่งมาลงที่สถานีอีทรอยส์

ในการออกแบบปรับปรุงถนนชองเซลิเซ่ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ.1994 โดย Bernard Huet คือการสร้างทางสำหรับคนเดินเท้าตามแนวยาวของถนน ลานจอดรถใต้ดินและปลูกต้นไม้ใหม่ พื้นที่สำหรับรถยนต์เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของความกว้างของถนนซองป์เซลิเซ่

ถนนสายตรงยาวเส้นนี้ถือเป็นต้นแบบถนนราชดำเนินของไทย มีร้านคาเฟ่บนทางเท้าริมสองฝั่งถนน ที่ซึ่งชาวปารีสจะมานั่งดูหรือนั่งให้ดูกันเนืองแน่นแทบทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในวันที่แดดดี ๆ นอกจากนั้นยังมีร้านค้าของดีราคาแพงจากดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกให้เดินเลือกซื้ออีกด้วย

Halloween < ผีออกเที่ยว >

L'Halloween ou l'Hallowe'en est une fête qui se déroule dans la nuit du 31 octobre au 1er novembre. Elle est fêtée principalement au Canada et aux États-Unis. La principale tradition veut que les enfants se déguisent avec des costumes qui font peur (squelettes, sorcières, monstres, etc.) et aillent sonner aux portes en demandant des bonbons, des fruits ou de l'argent en disant, « Trick or treat ! » (« Des friandises ou un mauvais tour ! ») ou simplement «Halloween!». D'autres activités incluent des bals masqués, le visionnage de films d'horreur, la visite de maisons "hantées", etc.

Halloween tire une lointaine origine d'une fête païenne celte ("Samain") qui a perduré plus longtemps chez les Celtes d'Irlande et de Grande-Bretagne que sur le continent européen. Après avoir évolué suite à la christianisation des populations, cette tradition a été transportée en Amérique du Nord au XIXe siècle par les Irlandais, les Écossais et autres immigrants.

Le principal symbole d'Halloween est la citrouille, remplacée quelquefois par un potiron (Jack-o'-lantern en anglais) : on le découpe pour y dessiner, en creux, un visage, puis on place une bougie en son centre.



วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทีนี้ก็เดือดร้อนถึงคนเป็นละซิ ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ประมาณว่า ปลอมตัวเป็นผีร้ายไปเลย ไม่ใช่มนุษย์นะ และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไปเลย
โคมรูปฟักทอง แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์นบางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสต์กาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสต์กาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน 'All Souls' พวกเขาจะเดินร้องขอ 'ขนมสำหรับวิญญาณ' (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
การเล่น trick or treat ตามบ้านคนส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง Jack-o-lantern ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด

ป.ล. ระวังให้ดีเถอะ คืนนี้คุณอาจเป็นคนต่อไป ที่ผีพวกนี้จะไปเยี่ยมคุณ<..>

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เอาดวงวันเกิดมาฝากกัน แม่น ๆ เจ้าค่ะ

สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์

ช่วงนี้ดวงอาทิตย์ยังคงร้อนอยู่ ดังนั้นไม่ควรเดินกลางแดดนานๆ
เพราะจะทำให้เหงื่อออก ไม่ควรดูโทรทัศน์ใกล้ๆเพราะจะแสบตาและบังคนข้างหลัง
และไม่ควรขากเสลดบนทางเท้า โชคไม่ดีอาจถูกปรับ ถ้าท้องผูกควรดื่มน้ำมากๆ
เวลาปวดให้รีบเข้าห้องส้วมให้เรียบร้อย และควรถอดกางเกงออกก่อน
เวลาอาบน้ำห้ามสวมเสื้อผ้า ไม่ควรดื่มลิโพเกินวันละ 2 ขวด
โปรดสังเกตุคำเตือนบนฉลากก่อนดื่ม แต่ไม่ต้องปฏิบัติตาม
เด็กเกิดวันนี้ ถ้าเป็นคนจะไม่มีหาง จะมีหน้ามีตาตั้งแต่ยังเล็ก
นอกจากนี้จะยังมีหูจมูกและคางอีกด้วย ขณะเป็นทารกหรือทาริกาจะตัวเล็ก
ในช่วงนี้ถ้าเด็กขี้แตกให้รีบเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที
และเด็กจะตัวใหญ่ขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
เมื่อเติบใหญ่เด็กจะกลายเป็นผู้ใหญ่ได้เอง
ถ้าทิ้งไว้ต่อไปก็จะแก่ลงโดยอัตโนมัติ
ถ้าไม่มีลูกหลานจะมีบุญได้ไปอยู่บ้านพักคนชรา


สำหรับคนที่เกิดวันจันทร์

ระยะนี้ดวงจันทร์เลื่อนที่ตัดหน้าดาวโจรที่รังสิต
ถ้าไม่ระวังของมีค่าอาจหายได้
ถ้าเดินไม่ระวังอาจหกล้มเจ็บตัวเป็นที่อับอายเสื่อมเสีย
ถ้าเจอหมาบ้าไม่ควรเข้าใกล้เป็นอันขาดเพราะอาจถูกกัดได้
เมื่อหิวก็ควรหาอะไรกินเป็นการแก้เคล็ด
เด็กเกิดวันนี้ถ้าเป็นผู้ชายจะไม่เป็นหญิง
โตขึ้นมาอีกหน่อยจะสามารถใส่เสื้อผ้าเองได้
เมื่อเติบใหญ่ต้องได้ไปทำบัตรประชาชนแน่นอน
ในเรื่องความรัก หากมีแฟนอยู่แล้วก็จะเป็นคนที่เห็นหน้ากันก่อนที่จะเป็นแฟน
หากยังไม่มีแฟนก็จะเป็นเพราะยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
ก็ให้แก้เคล็ดโดยการพยายามต่อไป


สำหรับคนที่เกิดวันอังคาร

วันนี้หากใช้เงินมากเกินตัวอาจจะต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขาได้
ไปตลาดถ้าต่อราคามากๆ อาจถูกแม่ค้าด่า ดาวประจำตัวยังโคจรรอบคลองเตย
ให้รีบไปทำงานแต่เช้า ถ้าไปสายจะถูกเจ้านายเขม่น ถ้าปวดหัวก็ให้นอนพักผ่อน
อย่ากินแอสไพรินตอนท้องว่าง และอย่ากินกาแฟก่อนนอนเพราะจะทำให้นอนไม่หลับ
เด็กเกิดวันนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายควรรีบทำสูติบัตร
เมื่อถึงวัยเรียนก็ควรพาไปเข้าเรียน
ถ้าเลี้ยงไม่ดีจะกลายเป็นโจรหรือติดยาบ้า
ถ้าเลี้ยงดีอาจได้เรียนมหาวิทยาลัย ช่วง 5-7 ขวบควรพาเด็กเที่ยวเขาดิน
เรื่องของความรักตอนนี้ถ้าปิ้งใครอยู่ก็ให้รีบเข้าไปคุย
ไม่งั้นเขาไม่รู้ว่าเรากำลังจีบเขาอยู่


สำหรับคนที่เกิดวันพุธ

วันนี้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์
ดาวพลูโตอยู่ห่างสุด
ตื่นขึ้นมาควรแก้เคล็ดด้วยการบิดขี้เกียจ และล้างหน้าแปรงฟันแก้ปากเหม็น
ถ้าฝนตกไม่ควรออกไปเล่นน้ำฝนเป็นอันขาดเพราะจะเป็นหวัดได้
ขึ้นรถเมล์ระวังกระเป๋ารถเมล์จะเข้ามาเก็บตังค์
เดินทางไกลจะเจอแต่คนแปลกหน้า
ในวันนี้ถ้าเจอพระตอนบ่ายสามห้ามใส่บาตรเด็ดขาด เจอเพื่อนจงทักทายดีๆ
แต่ถ้าเจอเจ้าหนี้ควรหลบหนีไกลๆ
เด็กเกิดวันนี้ถ้าเป็นชายโตขึ้นอาจจะเป็นตุ๊ดได้
เมื่อเติบใหญ่ควรพาไปเกณฑ์ทหาร และไม่ควรทำ สด 43 ปลอมเพราะจะถูกจับ
ถ้าเป็นหญิงเมื่ออายุ 20 จะบรรลุนิติภาวะได้เอง
ในช่วงอายุนี้บิดามารดาไม่ควรอนุญาติให้ลูกสาวบวชเป็นอันขาด
ในเรื่องของความรักคนที่มีแฟนอยู่อาจเลิกกันได้
คนที่ยังไม่มีแฟนอาจจะมีคนมาปิ๊งก็ได้


สำหรับคนที่เกิดวันพฤหัส

วันนี้ถ้าเหยียบขี้หมาให้รีบเอารองเท้าขูดกับฟุตบาทโดยเร็ว มิฉะนั้นจะเหม็น
ขึ้นรถเมล์ควรเกาะราวให้แน่นโดยเฉพาะทางโค้ง และไม่ควรตดบนรถเมล์เป็นอันขาด
ถ้าอากาศร้อนไม่ควรใส่เสื้อหนาว ถ้าอากาศเย็นไม่ควรดื่มน้ำแข็ง
เมื่อเห็นพัดลมกำลังหมุนอย่าเอามือเข้าไปแหย่มิฉะนั้นเลือดจะออกได้
เด็กเกิดวันนี้เมื่อเกิดใหม่ๆ ฟันจะยังไม่ขึ้นควรรอไปเรื่อยๆ
ฟันจะขึ้นเอง อย่าพาเด็กไปใส่ฟันปลอม เพราะจะมีฟันเกิน
ไม่ควรเลี้ยงเด็กทารกด้วยนมข้นหวานจะทำให้ขาดสารอาหารได้
ให้เลี้ยงด้วยนมแม่ไปก่อนจนกว่าจะมีอายุครบ 2 ขวบ
เมื่อโตขึ้นผู้ปกครองควรสอนให้เด็กล้างก้นเอง มิฉะนั้นจะเป็นภาระในอนาคตได้
ในเรื่องของความรักหากยังเป็นแฟนกันจะยังไม่มีทะเบียนสมรส
หากตัดสินใจจดทะเบียนก็จะต้องไปจดที่อำเภอหรือเขตแน่นอน


สำหรับคนที่เกิดวันศุกร์

วันนี้ห้ามทิ้งแฟนเป็นอันขาดเพราะแฟนอาจจะเสียใจได้
และห้ามกินของมันๆ ระวังจะอ้วน ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันบ่อยๆ 3 เดือนต่อ 1 อันกำลังเหมาะ
และไม่ควรลงเล่นน้ำคลองในใจกลางกรุงเทพฯเป็นอันขาด
วันนี้ดาวพระศุกร์โคจรมาพบกับดาวพระเสาร์ดังนั้นถ้าวันนี้เป็นวันศุกร์พรุ่งนี้ก็ควร
จะเป็นวันเสาร์ และวันต่อไปจะเป็นวันอาทิตย์
เด็กเกิดวันนี้เป็นผู้มีบุญญาวาสนาส่ง เมื่อแบเบาะจะยังพูดไม่ได้
ควรสอนไปเรื่อยๆเด็กจะพูดได้เอง ยกเว้นถ้าเด็กเป็นใบ้
ในระยะ 6-8 ขวบควรสอนให้เด็กเข้าบ้านทางประตู
ไม่ควรสอนให้เด็กเข้าบ้านทางหน้าต่างเด็ดขาด


สำหรับคนที่เกิดวันเสาร์

วันนี้ถ้าเดินผ่านกองขยะควรเอามือปิดจมูก และรีบเดินผ่านโดยเร็ว
หลังกินข้าวถ้ามีเศษอาหารติดฟันไม่ควรเอาตะเกียบแคะฟันเป็นอันขาด
ควรใช้ไม้จิ้มฟันดีที่สุด ถ้าเล็บยาวควรตัดให้สั้นแต่ถ้าสั้นควรรอให้ยาวก่อน
คืนนี้ไม่ควรนอนดึกเพราะพรุ่งนี้จะตื่นสาย
เวลาอาบน้ำควรถูสบู่ให้เกลี้ยงเกลา
เวลาไปวัดควรสวมเสื้อผ้าไปด้วยและ ไม่ควรแคะขี้มูกต่อหน้าพระสงฆ์
ถ้าคันจมูกควรจามให้เรียบร้อยก่อนเข้าวัด
แต่ถ้าไปสวนสัตว์ห้ามยื่นมือเข้ากรงเสือเป็นอันขาด
ถ้าขับรถไม่เป็นก็ไม่ควรขับ
จะเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน ให้แก้เคล็ดโดยการนั่งรถเมล์หรือแท็กซี่จะดีกว่า
เด็กที่เกิดวันนี้เมื่อยังเล็กถ้าหิวจะร้องให้
ควรป้อนนมเสียเด็กก็จะหยุดร้องเอง
และเมื่อป้อนนมเสร็จแล้วเด็กอิ่ม ไม่ควรเข้าไปเล่นกับเด็กทันที
เด็กอาจจะอ้วกใส่หน้าได้ ควรทำให้เด็กเรอเสียก่อน
เมื่อโตขึ้นมาหน่อยควรเลี้ยงด้วย
อะแล็คต้าเอ็นเอฟ หนองโพและสเปย์รอยัลตามลำดับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ดอกกุหลาบ

เพื่อน ๆ ก็รู้กันใช่ไหมค่ะว่า ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แทนความรักมาเนิ่นนานแล้ว อยากบอกรักใคร ก็บอกได้ด้วยดอกกุหลาบ
แต่เพื่อน ๆ รู้หรือเปล่าว่า จำนวนของดอกกุหลาบที่เพื่อน ๆ ให้กับคนคนนั้นมันมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝงอยู่ มาดูกันสิว่าคราวที่แล้วเพื่อน ๆ ให้ดอกกุหลาบกับคนรักไปกี่ดอก แล้วมีความหมายว่าอย่างไร ถ้าความหมายยังไม่ตรงใจ คราวหน้าก็เตรียมไปให้ครบจำนวนนะคะ


1 ดอก คือ รักแรกพบ
2 ดอก คือ แสดงความยินดีด้วย
3 ดอก คือ ฉันรักเธอ
7 ดอก คือ เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก คือ เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก คือ เธอเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก คือ เธอเป็นสมบัติที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอก คือ ขอให้เธอเป็นคู่ฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก คือ เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก คือ ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก คือ ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก คือ ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก คือ ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอก คือ ความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก คือ ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก คือ ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก คือ ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอก คือ เธอจะแต่งงานกับฉันไหม?
999 ดอก คือ ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย

ภาพแห่งความรักและ...ความทรงจำระหว่างมิตรภาพ



Cool Slideshows!

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ไวน์

vin

On admet généralement que le vin existe depuis plusieurs millénaires, on a trouvé des jarres anciennes de plus de 8 000 ans av J.C. contenant des pépins de raisins cultivés et de résidus d'acide tartrique. On ne sait actuellement pas si ce produit était réellement du vin ou simplement du jus de raisin.

Après l'Iran, on aurait retrouvé au nord de la Chine des traces datant de 7 000 ans av J.C. d'une boisson fermentée sur de la poterie.

Le roi Salomon l'a célébré, mais ce sont certainement les Grecs qui ont contribué au développement de la viticulture sur le pourtour de la Méditerranée. En effet, ils ont longtemps fait du commerce dans tous les pays méditerranéens. Ce sont eux qui ont importé les premiers vins en France en arrivant par le port de Marseille. À cette époque, le vin était composé de moût de raisin partiellement fermenté auquel on ajoutait de l'eau de mer pour sa conservation durant le transport, à l'arrivée on ajoutait de l'eau douce pour enlever le goût du sel.

Dans l'Égypte ancienne, on sait que la viticulture était très organisée. Osiris en Égypte, Dionysos en Grèce, Bacchus chez les Romains, Gilgamesh à Babylone représentent le vin ou sa quête dans la mythologie. Le vin symbolise aussi le sang du Christ dans la religion chrétienne. Le vin a évolué énormément durant les précédents millénaires. Les Romains avaient des vins très épicés qu'ils allongeaient à l'eau de mer. Ils ne correspondraient pas du tout aux goûts actuels.

Au XIXe siècle, le vin est considéré comme une boisson énergétique, par exemple, un faucheur en boit 6 à 8 litres par jour ! Le vin constituait une partie de sa rémunération, à une époque où l'eau n'était pas toujours vraiment potable.


ไวน์
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีมาหลายร้อยปีแล้ว มีการค้นพบโถโบราณบรรจุเมล็ดองุ่นไร่ซึ่งมีอายุนับเนื่องขึ้นไปกว่า 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล

นอกจากที่ประเทศอิหร่านแล้ว ยังมีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้จากกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ในสมัย 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของประเทศจีน

ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่าง ๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

ในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้

คริสมาสต์

Christianisme

Le christianisme est une religion monothéiste fondée sur la vie et les enseignements de Jésus de Nazareth tel qu'ils sont présentés dans le Nouveau Testament. Les Actes des Apôtres indiquent que le nom de « chrétien » (Grec Χριστιανός), signifiant appartenant au Christ ou partisan du Christ, fut donné à ses disciples à Antioche au milieu du premier siècle.[1] Quant au terme « christianisme » (Grec Χριστιανισμός), La référence la plus ancienne connue se trouve dans la lettre d'Ignace d'Antioche aux Magnésiens à la fin du premier siècle.[2] Les chrétiens croient que Jésus est le fils de Dieu et le Messie (ou Christ en grec) tel que le prophétisait l'Ancien Testament.[3] De ce fait, dans le christianisme, Jésus est aussi communément appelé Jésus-Christ.

La liturgie chrétienne se concentre sur la prédication et l'Eucharistie ou Sainte-Cène. Pour les catholiques, Jésus-Christ est réellement présent dans l'Eucharistie. Cette doctrine conduit vers l'adoration eucharistique.

Ayant marqué la civilisation occidentale au fils des siècles, le christianisme est de nos jours la religion la plus répandue dans le monde[4]. Elle est présente sur tous les continents, et plus particulièrement en Europe, en Amérique, en Afrique sub-saharienne et en Océanie où elle est prédominante[réf. nécessaire].

Le christianisme partage ses origines et nombre de ses textes avec le Judaisme, particulièrement la Bible Hébraique, connue chez les chrétiens sous le nom d'Ancien Testament ou de Premier Testament.[5]. Comme le Judaisme et l'Islam, le christianisme est classé comme religions abrahamiques[6][7].

คริสต์ศาสนา (Christianity) เป็นศาสนาที่นับถือศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คือพระยาเวห์(นิกายโรมันคาทอลิค,นิกายออโธดอกซ์) หรือ พระเยโฮวาห์(นิกายโปรเตสแทนท์) มีพระเยซูคริสต์เป็นศาสดา คริสตศาสนาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวซึ่งดำรงในสามพระบุคคล ในพระลักษณะ"ตรีเอกภาพ" หรือ "ตรีเอกานุภาพ" (Trinity) คือ พระบิดา, พระบุตร และพระจิต(พระวิญญาณบริสุทธิ์) มีพระคัมภีร์คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ หรือ คัมภีร์ไบเบิล (The Bible) ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือประมาณ 2,100 ล้านคน ถือว่าเป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากที่สุดในโลก

ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนายูดาย (หรือศาสนายิว) โดยมีเนื้อหาและความเชื่อบางส่วนเหมือนกัน โดยเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลฮิบรู ที่คริสตศาสนิกชนรู้จักในชื่อ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament)โดยในพระคริสตธรรมคัมภีร์ 5 เล่มแรกจากทั้งหมด 46 เล่มในภาคพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า ปัญจบรรพ (Pentateuch) ได้รับการนับถือเป็นพระคัมภีร์ของศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ด้วยเช่นกัน โดยในพระธรรมหลายตอนได้พยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ (Messiah)ที่ชาวคริสต์เชื่อว่า คือ พระเยซู เช่น หนังสือประกาศกอิสยาห์ บทที่ 53 เป็นต้น

คริสตชนนั้นมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทางหญิงพรมจารีโดยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า เพื่อไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายในสามวันหลังจากนั้น และเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ผู้ที่เชื่อและไว้วางในพระองค์จะได้รับการอภัยโทษบาป และจะรอดพ้นจากการพิพากษาในวันสิ้นพิภพ(Amagadon) และได้เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์

ต้นกำเนิดมนุษย์ค่ะ

วันนี้เอาเรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์มาฝากเพื่อน ๆ ค่ะ

คน หรือ มนุษย์ สามารถนิยามได้ทั้งในทางชีววิทยา, ทางสังคม และทางเจตภาพ (spirituality) ในทางชีววิทยานั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิด Homo sapiens (ภาษาละติน: "มนุษย์ผู้รู้") ซึ่งจัดเป็นไพรเมตยืนสองขาชนิดหนึ่งในวงศ์ใหญ่ Hominoidea ร่วมกับลิงไม่มีหางหรือวานรอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ลิงชิมแปนซี, ลิงกอริลลา, ลิงอุรังอุตัง และชะนี
มนุษย์มีลำตัวตั้งตรงซึ่งทำให้รยางค์คู่บนว่างลงและใช้จัดการวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ได้ มนุษย์ยังมีสมองซึ่งพัฒนาอย่างมากและมีความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม, การพูด, การใช้ภาษา และการใคร่ครวญ
ในด้านพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์นิยามด้วยการใช้ภาษา; การจัดโครงสร้างสังคมอันซับซ้อนในรูปของกลุ่ม, ชาติ, รัฐ และสถาบัน; และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ความแตกต่างทางพฤติกรรมเหล่านี้ของมนุษย์ก่อให้เกิดวัฒนธรรมนับหมื่นนับพันวัฒนธรรม ซึ่งยึดถือความเชื่อ, ตำนาน, พิธีกรรม, คุณค่า และปทัสฐานทางสังคมต่าง ๆ กันไป
ความตระหนักถึงตนเอง, ความใคร่รู้ และการใคร่ครวญของมนุษย์ ตลอดจนความโดดเด่นกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก่อให้เกิดความพยายามที่จะอธิบายธรรมชาติและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ทั้งในทางวัตถุธรรมและในทางนามธรรม คำอธิบายในทางนามธรรมนั้นจะเน้นมิติทางเจตภาพของชีวิต และอาจรวมถึงความเชื่อในพระเป็นเจ้า, เทพเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติอื่น ๆ ตลอดจนแนวคิดเรื่องวิญญาณ ความพยายามที่จะสะท้อนภาพตัวเองของมนุษย์นั้นเป็นพื้นฐานของความคิดทางด้านปรัชญา และมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคแรก ๆ

บักบันนี่

Bugs Bunny est un personnage de dessin animé états-unien créé par plusieurs dessinateurs dont Ben Hardaway. Il apparut pour la première fois à l'écran dans "Porky's Hare Hunt" (1938) de Ben Hardaway et Cal Dalton. Il devint le personnage que nous connaissons aujourd'hui sous la plume de Tex Avery dans "Wild Hare" (1940), produit par Chuck Jones. À l'origine, il devait s'appeler "Happy Rabbit" mais, suivant la suggestion de Mel Blanc (la voix originale de Bugs Bunny, auteur de la phrase classique "Ehh, What's up Doc ?"), il fut baptisé comme son créateur Ben Hardaway, dont le surnom était "Bugs". À partir de 1962, Bugs apparut dans 159 films et gagna même un Oscar pour "Knightly Knight Bugs" (1958). C'est une figure emblématique de la Warner Bros.. En version française, c'était Guy Piérauld qui assurait la voix de Bugs Bunny.
Bugs Bunny est un lapin gris aux postures humaines qui passe son temps à grignoter des carottes, creuser la terre et à se jouer de ses ennemis ! Son génie tient du fait qu'il arrive toujours à embrouiller son adversaire et à lui échapper même si pour cela il doit déjouer les lois de la nature, car il est le maître de son dessin animé. C'est le côté absurde de Bugs Bunny, comme dessiner une porte dans un mur et puis l'ouvrir, qui le rend inoubliable. Ses ennemis (ou complices) : Elmer Fudd le chasseur, Yosemite Sam (dit Sam le pirate), Marvin le Martien, Daffy Duck et occasionnellement, Vil Coyote.
Sa célèbre phrase fétiche est : « Quoi de neuf, docteur ? » (« Eh, what's up, doc? » en anglais).
Bugs Bunny a été classé numéro 1 parmi les 50 meilleurs personnages de dessin animé dans un top 50 américain. Il possède une étoile sur le Walk of Fame.


บักส์ บันนี (Bugs Bunny) เป็นตัวการ์ตูนใน ลูนีย์ทูนส์ ซึ่งการ์ตูนซีรี่ส์เป็นตอน ๆ และเป็นตัวการ์ตูนที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก บักส์บอกว่าเขาเกิดในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ที่ย่านบรูกลิน ในนครนิวยอร์ก แต่เสียงของ เมล แบลงก์ ซึ่งพากย์เสียงของ บักส์ บันนี เป็นสำเนียงลูกผสมระหว่างคนย่านบรองซ์กับบรูกลิน บักส์เป็นที่รู้จักกันดีจากการเป็นคู่แค้นกับ เอลเมอร์ ฟัดด์ โยเซมิตี แซม มาร์วิน มาร์เชียน แดฟฟี ดัคก์ แม้กระทั่ง ไวลี อี. ไคโยตี (ซึ่งโดยปกติแล้วจะไล่ล่า โรด รันเนอร์ (Road Runner) หรือ ตัว "บิ๊บ บิ๊บ" ที่เรารู้จักกันดี)
ทุกครั้งที่มีเรื่องมีราวกัน บักส์จะลงเอยเป็นผู้ชนะเสมอ โดยเฉพาะตอนที่กำกับโดย ชัคก์ โจนส์ ผู้ซึ่งชอบจับคู่ชน ระหว่าง "ผู้ชนะ" กับ "ผู้แพ้" เนื่องจากโจนส์เป็นห่วงว่า ในที่สุดผู้ชมจะหมดความเห็นอกเห็นใจให้กับ บักส์ ซึ่งเป็นผู้ชนะตลอด (โดยปกติ ผู้ชนะมักจะเป็นฝ่ายที่ก้าวร้าวกว่า) โจนส์จึงได้วางเนื้อเรื่องให้บักส์นั้นถูกรังแก ถูกล่อลวง และถูกข่มขู่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากอีกฝ่ายที่มีเรื่องกันเสมอ หลังจากถูกหาเรื่อง (ปกติแล้วจะเกิดขึ้น 3 ครั้ง) บักส์ก็จะพูดว่า "Of course, you realize this means war" (แน่นอน คุณก็เห็นว่านี่คือสงคราม) เป็นคำพูดที่ โจนส์ เอามาจาก เกราโช มาร์กซ และผู้ชมก็จะไม่ว่าอะไร ในลักษณะเป็นเชิงให้อนุญาตให้บักส์นั้น เริ่มใช้ความรุนแรงตอบโต้ได้ แต่ในตอนที่บักส์ พบกับตัวการ์ตูนที่เป็น "ผู้ชนะ" เหมือนกัน เช่น ซิซิล เดอะ เทอเทิล ใน Tortoise Beats Hare (กระต่ายกับเต่า) หรือใน WWII (สงครามโลกครั้งที่สอง) the Gremlin of Falling Hare บักส์มักจะเสียสถิติในการเป็นผู้ชนะ เนื่องจากความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป