วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550

มาดูรูปสวย ๆ ของมัลดีฟกันดีกว่า



สาธารณรัฐมัลดีฟส์ (Republic of Maldives) เป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการังจำนวนมาก ในมหาสมุทรอินเดีย และตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของ ประเทศอินเดียและศรีลังกา
เพื่อน ๆ คงเห็นถึงความสวยงามของเกาะมัลดีฟกันแล้ว ก็คงอยากจะไปเที่ยวกันล่ะสิ งั้นก็ต้องเก็บตังค์ให้ได้เยอะ ๆ นะจะได้ไปเที่ยวที่สวย ๆ

คำศัพท์สัตว์ภาษาฝรั่งเศสมาแล้ว...ค่ะ (Les animaux)

Mes filles aiment toutes les bêtes [n.f.] [ลูกสาวของฉันชอบสัตว์ทุกชนิด] ,
mais elles aiment moins les insectes [n.m.] [แต่ชอบพวกแมลงน้อยหน่อย]
Elles adorent les poissons rouges [n.m.] [หล่อนชอบปลาสวยงามมาก]
Elles veulent élever des oiseaux [n.m.] mais je préfère les voir en liberté. [หล่อนอยากเลี้ยงนกด้วย แต่ฉันอยากเห็นมันอยู่เป็นอิสระมากกว่า]

Beaucoup de personnes âgées ont des chiens [n.m.] ou des chats [n.m.] pour leur tenir compagnie.
[คนสูงอายุเป็นจำนวนมากเลี้ยงสุนัขและแมวไว้เป็นเพื่อน]
- Le chien et le chat sont des animaux domestiques les plus courants. [สุนัขและแมวเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านที่นิยมมากที่สุด]
- Les animaux de la ferme sont aussi domestiques. [สัตว์เลี้ยงในฟาร์มถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้กับคนด้วย]
- Les fauves [n.m.] comme le lion et le tigre sont des animaux féroces. [สัตว์ป่าดุร้ายเช่นเสือและสิงห์โตเป็นสัตว์ที่ดุร้าย]

Les animaux domestiques et les animaux de la ferme [สัตว์เลี้ยงในบ้าน และ สัตว์เลี้ยงในฟาร์ม]

chat [n.m] / chatte [n.f] ชา / ชัต(เตอ) แมว
- chaton [n.m] ชา-ตง ลูกแมว
chien [n.m] / chienne [n.f] เชียง / เชียน(เนอ) สุนัข, หมา
- chiot [n.m] ชิ-โอ ลูกสุนัข, ลูกหมา




âne [n.m] / ânesse [n.f.] อาน(เนอ) / อา-แนส(เซอ) ลา
ânon [n.m] อา-นง ลูกลา

boeuf [n.m], boeufs [n.m.pl.], taureau [n.m.], taureaux [n.m.pl.] / vache [n.f] เบิ๊ฟ, เบอ, โต-โร / ว้าช(เชอ) วัวตัวผู้ / วัวตัวเมีย
- veau [n.m], veaux [n.m.pl.] โว ลูกวัว
bouc [n.m] / chèvre [n.f] บูก / แช๊ฟ(เวรอ) แพะตัวผู้ / แพะตัวเมีย
- chevreau [n.m.] เชอ-วโระ ลูกแพะ
buffle [n.m.] / bufflonne [n.f.] บืฟ(เฟลอ) / บืฟ-ฟลอน(เนอ) ควายตัวผู้, ควายตัวเมีย
- buffon [n.m.] บืฟ-ฟง ลูกควาย

canard [n.m] / cane [n.f] กา-นาร์ / กาน(เนอ) เป็ดตัวผูู้้ / เป็ดตัวเมีย
- caneton [n.m] กาน-ตง ลูกเป็ด
cheval [n.m], chevaux [n.m.pl.] / jument [n.f] เชอ-วาล, เชอโว / ชือ-มอง ม้าตัวผูู้้ / ม้าตัวเมีย
- poulin [n.m] / pouliche [n.f] กา-นาร์ / กาน(เนอ) ลูกม้าตัวผูู้้ / ลูกม้าตัวเมีย
cochon [n.m], porc [n.m.] / truie [n.f] โก-ชง, ปอร์ / ทรุย หมูตัวผููู้้้ / หมูตัวเมีย
- cochonnet , porcelet, goret [n.m.] โก-ชอ-เน, ปอร์-เซอ-เล, กอ-เร ลูกหมู
coq [n.m] / poule [n.f] ก๊อก / ปูล(เลอ) ไก่ตัวผู้, ไก่ตัวเมีย
- poulet [n.m] / poulette [n.f] / poussin [n.m.] ปู-เล / ปู-แลต(เตอ) / ปุส-แซง ไก่กระทงตัวผู้ / ไกกระทงตัวเมีย / ลูกเจี๊ยบ

dindon [n.m.] / dinde [n.f.] แดง-ดง / แดง(เดอ) ไก่งวงตัวผู้ / ไก่งวงตัวเมีย
- dindonneau [n.m.], dindonneaux [n.m.pl] แดง-ดอน-โน ลูกไก่งวง

lapin [n.m.] / lapine [n.f.] ลา-แปง / ลา-ปิน(เนอ) กระต่ายตัวผู้ / กระต่ายตัวเมีย
- lapereau [n.m.], lapereaux [n.m.pl.] ลา-เปอ-โร ลูกกระต่าย

mouton [n.m.] , bélier [n.m.] / brebis [n.f.] มู-ตง, เบ-ลิ-เย / เบรอ-บิ แกะ , แกะตัวผูู้้ / แกะตัวเมีย
- agneau [n.m.], agneaux [n.m.pl.] อา-โย ลูกแกะ

oie [n.f.] / jars [n.m.] อัว / ชาร์ ห่านตัวเมีย / ห่านตัวผู้
oison [n.m.] อัว-ซง ลูกห่าน


Les animaux sauvages [สัตว์ป่า์, สัตว์ที่อยู่ตามธรรมชาติ]

abeille [n.m.] อะ-แบย(เยอ) ผึ้ง
aigle [n.m.] แอ๊ก(เกลอ) นกอินทรี
- aiglon [n.m.] แอ๊ก-กลง ลูกนกอินทรี
araignée [n.f.] อา-แรน-เย่ แมงมุม
autruche [n.f.] โอ-ทรืช(เชอ) นกกระจอกเทศ
- autruchon [n.m.] โอ-ทรือ-ชง ลูกนกกระจอกเทศ

baleine [n.f.] บา-แลน(เนอ) ปลาวาฬ
blaireau [n.m.], blaireaux [n.m.pl] บแล-โร ชะมด
belette [n.f.] เบอ-แล๊ต(เตอ) พังพอน
bestiole [n.f.] แบส-ติ-ออล(เลอ) แมลงปีกแข็ง

calamar (หรือ) calmar [n.m.] / seiche [n.f.] กา-ลา-มา (หรือ) กาล-มา / แซช(เชอ) ปลาหมึก
castor [n.m.] กาส-ตอร์ ตัวบีเวอร์
cerf [n.m.] / biche [n.f.] แซร์ / บิช(เชอ) กวางตัวผู้ / กวางตัวเมีย
- faon [n.m.] ฟอง ลูกกวาง
chameau [n.m.] / chamelle [n.f.] / dromadaire [n.m.] ชา-โม / ชา-แมล(เลอ) / โดร-มา-แดร์ อูฐตัวผู้ / อูฐตัวเมีย / อูฐ(พันธุ์ที่มีโหนกเดียวกลางหลัง)
- chamelon [n.m.] ชา-เมอ-ลง ลูกอูฐ
chamois [n.m.] ชา-มัว เลียงผา
chauve-souris [n.m.] โช๊ฟ-ซู-ริ ค้างคาว
chevreuil [n.m.] เชอ-วเรย อีเก้ง, กวาง
chimpanzé [n.m.] แชง-ปอง-เซ ลิงชิมแพนซี
coccinelle [n.f.] ก๊อก-ซิ-แนล (แมลง)เต่าทอง
colombe [n.f.] โก-ลง(เบอ) นกพิราบขาว
coquillage [n.m.] โก-กิ-ยาช(เชอ) หอย
corbeau [n.m.] กอร์-โบ (นก) อีกา
crabe [n.m.] คราบ(เบอ) ปู
crapaud [n.m.] ครา-โป คางคก
crevette [n.f.] เครอ-แว๊ต(เตอ) กุ้ง
crocodile [n.m.] โคร-โค-ดิล(เลอ) จรเข้

daim [n.m.] แด็ง กวางทราย
dauphin [n.m.] โด-แฟง ปลาโลมา

écureuil [n.m.] เอ-กือ-เรย กระรอก
éléphant mâle [n.m.] / éléphant femelle [n.f.] เอ-เล-ฟอง มาล(เลอ) / เอ-เล-ฟอง เฟอ-แมล(เลอ) ช้างตัวผู้ / ช้างตัวเมีย
- éléphanteau [n.m.] เอ-เล-ฟอง-โต ลูกช้าง
éléphant de mer [n.m.], phoque [n.m.], otarie [n.f.] เอ-เล-ฟอง เดอ แมร์, ฟ๊อก(เกอ), ออ-ตา-รี แมวนํ้าขนาดใหญ่ หรือ สิงโตทะเล, แมวนํ้า
escargot [n.m.] แอส-การ์-โก หอยทาก

faisan [n.m.] / faisane [n.f.] เฟอ-ซอง / เฟอ-ซาน(เนอ) ไก่ฟ้าตัวผู้ / ไก่ฟ้าตัวเมีย
- faisandeau [n.m.] เฟอ-ซอง-โด ลูกไก่ฟ้า
faucon [n.m.] โฟ-กง เหยี่ยว
fourmi [n.f.] ฟูร์-มิ มด

gazelle [n.f.] กา-แซล(เลอ) สัตว์ชนิดเนื้อทราย
girafe [n.f.] ชิ-ราฟ(เฝอ) ยีราฟ
- girafon [n.m.], girafeau [n.m.] ชิ-ราฟง, ชิ-รา-โฟ ลูกยีราฟ
gorille [n.m.] กอ-ริล(เลอ) ลิงกอริลลา
grenouille [n.f.] เกรอ-นุย(เยอ) กบ
guêpe [n.f.] แก๊ป(เปอ) ตัวต่อ

hérisson [n.m.] เอ-ลิส-ซง เม่น
hibou [n.m.] อิ-บู นกฮูก นกเค้าแมว
hippopotame [n.m.] อิป-โป-โป-ตาม(เมอ) ฮิปโปโปเตมัส
hirondelle [n.f.] อิ-รง-แดล(เลอ) นกนางแอ่น
huître [n.f.] อือ-อิต(เทรอ) หอยนางรม

kangourou [n.m.] กอง-กู-รู จิงโจ้
kiwi [n.m.] กิ-วิ นกกีวี่

léopard [n.m.] เล-โอ-ปาร์ เสือดาว
lièvre [n.m.] / hase [n.f.] ลิ-แอฟ(เวรอ) / อาส(เซอ) กระต่ายป่าตัวผู้ / กระต่ายป่าตัวเมีย
- levraut [n.m.] เลอ-โวร ลูกกระต่ายป่า
lézard [n.m.] เล-ซาร์ กิ้งก่า, จิ้งจก
lion [n.m.] / lionne ลิ-อง / ลิ-ออน สิงห์โตตัวผู้, สิงห์โตตัวเมีย
- lionceau [n.m.] ลิ-อง-โซ ลูกสิงห์โต
loup [n.m.] ลู หมาป่า
loutre [n.f.] ลูต(เทรอ) นาก

moineau [n.m.] มัว-โน นกกระจอก
mouche [n.f.] มุช(เชอ) แมลงวัน
moule [n.f.] มุล(เลอ) หอยแมงภู่
moustique [n.m.] มุส-ติก(เกอ) ยุง
mulet [n.m.] / mule [n.f.] มือ-เล / มืล(เลอ) ฬ่อตัวผู้ / ฬ่อตัวเมีย

oiseau [n.m.], oiseaux [n.m.pl.] อัว-โซ นก
ours [n.m.] / ourse [n.f.] อูร์ส / อูร์ส(เซอ) หมีตัวผู้, หมีตัวเมีย
- ourson [n.m.] อูร์-ซง ลูกหมี

panthère [n.m.] ปอง-แต(เรอ) เสือลาย
paon [n.m.] / paonne [n.f.] ปอง / ปาน(เนอ) นกยูงตัวผู้ / นกยูงตัวเมีย
papillon [n.m.] ปา-ปิ-ยง ผีเสื้อ
perdrix [n.f.] แปร์-ดริ นกกระทา
perdreau [n.m.] แปร์-โดร ลูกนกกระทา
perroquet [n.m.] แปร์-โร-เก้ นกแก้ว
pigeon [n.m.] ปิ-ชง นกพิราบ
pingouin [n.m.] แปง-กู-แอง นกเพนกวิน

rat [n.m.] / rate [n.f.] รา์ / ร๊าต(เตอ) หนู(พันธุ์ใหญ่)ตัวผู้ / หนู(พันธุ์ใหญ่)ตัวเมีย
renard [n.m.] / renarde [n.f.] เรอ-นาร์ / เรอ-นาร์ด หมาจิ้งจอกตัวผู้ / หมาจิ้งจอกตัวเมีย
renne [n.m.] แรน(เนอ) กวางเรนเดีียร์(กวางลากเลื่อน)
requin [n.m.] เรอ-แกง ปลาฉลาม
rhinocéros [n.m.] ริ-โน-เซ-รอส แรด
rongeurs [n.m.pl.] รง-เชอ สัตว์จำพวกกัดแทะเช่นหนู กระรอก

sanglier [n.m.] / laie [n.f.] ซอง-กลิ-เย / แล หมูป่าตัวผู้ / หมูป่าตัวเมีย
- marcassin [n.m.] มาร์-กัส-แซง ลูกหมูป่า
saumon [n.m.] โซ-มง ปลาแซลม่อน
serpent [n.m.] แซร์-ปอง งูี
singe [n.m.] / guenon [n.f.] แซ๊ง(เชอ) / เกอ-นง ลิง / ลิงตัวเมีย
souris [n.f.] ซู-ริ หนู(พันธุ์เล็ก) หนูบ้าน

taupe [n.f.] โตบ(เปอะ) ตัวตุ่น
thon [n.m.] ตง ปลาทูน่า
tigre [n.m.] / tigresse [n.f.] ตีก(เกรอ) / ตี-แกรส(เซอ) เสือตัวผู้ / เสือตัวเมีย
tortue [n.f.] ตอร์-ตือ ูเต่า
tourterelle [n.f.] ตูร์-เตอ-แรล(เลอ) นกเขา
truite [n.f.] ทรุต(เตอ) ปลาเทร๊าท์

vautour [n.m.] โว-ตูร์ แร้ง
vipère [n.f.] วิ-แป(เรอ) ูงูพิษ

zèbre [n.m.] แซบ(เบรอ) ม้าลาย

Expressions ou comparaisons qui font référence aux animaux [สำนวนหรือการเปรียบเทียบที่อ้างอิงถึงสัดว์]

- Il n'y a pas un chat. = [ไม่มีใครอยู่สักคน]
- Il fait un temps de chien. = [อากาศไม่ดีเลย]
- Ces deux frères s'entendent comme chien et chat. = [พี่น้องสองคนนี้เข้ากันไม่ค่อยได้ (ทะเลาะกันยังกับหมากับแมว)]
- Il est doux comme un agneau. = [เขาอ่อนโยนและน่ารักมาก (ยังกับลูกแกะ)]
- Il a un caractère de cochon. = [เขานิสัยแย่มาก (ยังกับหมู)]
- Dans l'autobus à Bangkok, nous sommes serrés comme des sardines en boîte. = [ผู้คนเบียดเสียดกันมาก (ราวกับปลาซาร์ดีนในกระป๋อง)]
- Il est libre comme un oiseau. = [เขาเป็นอิสระ (ราวกับนก)]
- Une hirondelle ne fait pas le printemps. = [(เห็นนกนางแอ่นเพียงตัวเดียวไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ) เห็นเพียงตัวอย่างเดียว จะเหมาเอาว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เลยไม่ได้ คือ อย่าด่วนสรุป]
- Il est muet comme une carpe. = [เป็นคนเงียบมาก (เหมือนปลาคาร์ป)]
- Philippe est heureux comme un poisson dans l'eau. = [ฟิลิปป์มีความสุขมาก (เหมือนปลาได้นํ้า)]
- Cet enfant a une mémoire d'éléphant. = [เด็กคนนี้มีความจำดีเป็นเลิศ (เปรียบเทียบกับช้างที่ฉลาดและมีความจำที่ดี)]
- Elle a un appétit d'oiseau. = [หล่อนกินน้อยมาก (เหมือนนกที่กินได้น้อยในแต่ละครั้ง)]
- Cette femme a une langue de vipère. = [ผู้หญิงคนนี้ปากร้าย ชอบพูดให้ร้ายคนอื่น (เหมือนอสรพิษ)]
- Cette fille a une taille de guêpe. = [หญิงสาวคนนี้เอวบางร่างน้อย (เอวกิ่วเหมือนตัวต่อ)]
- Cet enfant est têtu comme un âne. = [เด็กคนนี้ดื้อรั้น (ยังกับลา)]
- Quand le chat n'est pas là, les souris dansent. = [เมื่อผู้เหนือกว่าไม่อยู่ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะรู้สึกสนุกสนาน และมีควาสุข (แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง)]
- Il est malin comme un singe. = [เขาฉลาดแกมโกงมาก (เหมือนลิงที่เจ้าเล่ห์)]
- Il est rusé comme un renard. = [เขาฉลาดและเจา้เล่ห์มาก (เหมือนสุนัขจิ้งจอก)]
- Il est fort comme un boeuf. = [เขาแข็งแรงมาก (ราวกับวัว)]
- Il est laid comme un pou. = [เขาขี้เหร่มาก (ราวกับตัวหมัด)]
- Il est myope comme une taupe. = [เขาสายตาสั้นมาก (เหมือนตัวตุ่น)]
- Elle est gaie comme un pinson. = [หล่อนร่าเริงมากและอารมณ์ดีเสมอ (เหมือนนกชนิดหนึ่ง)]
- Je suis malade comme une bête. = [ฉันไม่สบายมาก (เหมือนสัตว์)]
- Elle est bête comme une oie. = [หล่อนโง่มาก (ราวกับห่าน)]
- J'ai une faim de loup. = [ฉันหิวมาก (ราวกับหมาป่า)]
- C'est une tête de cochon. = [เขาดื้อรั้นมาก (เหมือนหมู)]
- C'est un troupeau de moutons. = [เป็นคนที่เชื่อฟังอะไรง่ายๆโดยไม่คิด (เหมือนฝูงแกะ)]
- Il a une fièvre de cheval. = [เขามีไข้สูงมาก (เหมือนไข้ของม้า)]
- Il fait un froid de canard. = [อากาศหนาวมาก (ปรกติเป็ดจะเป็นสัตว์ที่ไม่รู้สึกหนาวง่ายๆ แต่ถ้าเป็ดรู้สึกหนาวแสดงว่าอากาศหนาวมาก)]
- Il a versé des larmes de crocodile. = [(เขาหลั่งนํ้าตาจระเข้) เขาแกล้งทำเป็นเสียใจ ถือได้ว่าเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก]

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2550

รูทเบียร์

ประวัติของรูทเบียร์แบ่งได้เป็นสองทฤษฎีด้วยกัน

ในประวัติศาสตร์ รูทเบียร์ปรากฎในนิยายของเช็คสเปียร์หลายครั้ง

ในลักษณะของเบียร์ แต่รสอ่อนและบางกว่า และมีแอลกอฮอล์น้อยกว่า ทำจากสมุนไพร และผลเบอร์รี่

บางคนก็เรียกมันว่า เบิร์ช เบียร์ (Birch Beer), ซาร์สปาริลล่า เบียร์ (Sarsparilla Beer)

หรือจินเจอร์ เบียร์ (Ginger Beer) และมันเป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวไร่ชาวนา ในยุคทศวรรษที่ 18

โดยเฉพาะในช่วงมีปาร์ตี้ หรือการพบปะสังสรรค์ สมาคมกัน




ในประวัติศาสตร์ส่วนมากระบุไว้ว่า รูทเบียร์เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

จากเภสัชกรคนหนึ่ง ที่กำลังคิดค้นสูตรในการผลิตยา ที่ทำจากสมุนไพร

เมื่อนำรากของเบอร์รี่มาผสมกับสมุนไพรหลายชนิดมาผสมกัน ก็กลายมาเป็นรูทเบียร์ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้

(คำว่ารูท คงมาจากรากของเบอร์รี่นั่นเองเนอะ)


สูตรของรูทเบียร์ในตอนแรกนั้น ประกอบด้วยสมุนไพรมากมายได้แก่

juniper, wintergreen, spikenard, pipsissewa, sarsaparilla, vanilla beans,

hops, dog grass, birch bark และ licorice

ในตอนแรกรสชาติของมันค่อนข้างขม เพราะมาจากสมุนไพรล้วนๆ

และเป็นน้ำที่ช่วยในเรื่องสุขภาพ แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดนัก



ต่อมา ชาร์ลส์ ไฮเรส เภสัชกรอีกคนหนึ่งได้พบสมุนไพรจากน้ำชา

เมื่อนำมาผสมกับรูทเบียร์เดิม และผลเบอร์รี่อีกหลายชนิด น้ำชนิดนี้เริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น

และต่อมา ในปี 1893 ก็ได้มีการผลิตออกขาย และกลายเป็นรูทเบียร์ในเวลาต่อมา


สำหรับรูทเบียร์ในปัจจุบัน ไม่มีสูตรที่ตายตัว เพราะตั้งแต่เมื่อก่อนมันก็มีส่วนผสมมากอยู่แล้ว

แต่ที่เราดื่มกันส่วนมากจะเกิดจากการผสมของรสชาติที่หลากหลาย น้ำตาล และก๊าซคาร์บอน ฯลฯ

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2550

อ่านเรื่องซึ้ง ๆ ของแม่กันหน่อยนะ




ณ. ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539 "มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ " โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร คุณครูประจำชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้ เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ

เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์ มิสอุไรพรก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้มิสอุไรพรตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา "ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา" น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดคุณครูก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการเรื่องที่ ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้าทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพรจึงได้ถือโอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้ วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536 หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัด สตูล ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน

ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่ และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก

"ถ้าเป็นพวกนักเรียน น้องตกลงไปอย่างนี้พวกเธอจะทำอย่างไร" มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ "ลูกชาย" ของคุณแม่ท่านนั้น

มิสอุไรพร ดำเนินเรื่องต่อไปทันที "ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร" คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่าง อยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ ก่อน...ที่ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม่ ขาดสะบั้นลง! คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่... ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจน กระดูกหัก ...แต่ไม่ขาดไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...



คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ! คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว! สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ

มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า "นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ" "กล้าหาญมาก " เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า มิสมองหน้า "ลูกชาย" ของคุณแม่ท่านนั้นแล้วบอกต่อว่า
"นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ" เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง "วันนี้เมื่อเธอกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา"


"จริงครับๆ ใช่ครับๆ" เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน "มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ" มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า "ดีมากนักเรียน ตอนนี้พวกเธอคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ "
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ

ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร ? เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจของเด็กคนนี้ลงจน สิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว "ลูกชาย" เข้าไปคุยอีกครั้ง "วันนี้เธอมีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ" เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า "ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ"



รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่ บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย ก่อนไม่มีแม่ให้กอด

น่ากิ๊น น่ากิน



เอาอาหารฝรั่งเศสมาให้ดู เห็นแล้วอยากกินกันไหมล่ะ

ประวัติศาสตร์ชาติที่ภาษาเพราะที่สุดในโลก



ประเทศฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกลในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี

ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจศิลปะ และ วัฒนธรรม ต่อยุโรปเป็นอย่างมาก


ภาพ La Liberté guidant le peuple หรือ เสรีภาพสู่ประชาชน เล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนปฏิวัติฝรั่งเศสฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง

ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจากจักรวรรดิอังกฤษ

ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้งประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน

ฝรั่งเศสยังเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง

Champs E'lysee ถนนสายช้อปปิ้ง


Champs E'lysee

เป็นถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกที่สร้างความรู้สึกที่น่าประทับใจที่สุดในการเดินเล่นชมบรรยากาศสองข้างถนนเพื่อชื่นชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่และร้านสินค้าแบรนด์เนมที่มีชื่อเสียง ความยาวของถนนเส้นนี้จะเริ่มจาก จตุรัสลากงกอร์ด ไปจน ปลาซเดอโกลซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูชัยอาร์ค เดอ ตรีองฟ์ ซึ่งจัดเป็นย่านที่หรูหราที่สุด

ฝั่งตะวันตกของถนนจะเป็นโรงภาพยนต์ โรงละคร คาเฟ่ และร้านสินค้าราคาแพง สุดถนนใกล้จตุรัสลากงกอร์ดจะเป็นสวนชองเซลิเซ่ซึ่งเป็นสวนสวยงามที่มีน้ำพุ และมีอาคารขนาดใหญ่อยู่ทางด้านใต้ เช่น กรองพาเลสและลิตเติลพาเลส สวนชองเซลิเซ่ซึ่งต่อมาได้เป็นบ้านพักของประธานาธิบดีของฝรั่งเศสจะอยู่ทางด้านเหนือ ในปี ค.ศ.1873

ถนนชองเซลิเซ่ได้ถูกใช้ในงานเฉลิมฉลองใหญ่ ๆ เช่น งานวันปีใหม่ของชาวปารีส พิธีสวนสนามของกองทัพในวันที่ 14 กรกฏาคม ตลอดจนเหตุการณ์ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อาทิเช่น วันประกาศอิสรภาพหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือวันเฉลิมฉลองชัยชนะที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998

ในช่วงศตวรรษที่ 16 พื้นที่บริเวณนี้ยังเป็นท้องทุ่งที่ถือว่าอยู่นอกใจกลางกรุงปารีส ในปี ค.ศ.1616 มาเรีย เดอเมดิซีได้ตัดสินใจที่จะปลูกต้นไม้เป็นแนวยาวจากสวนตุยเลอรีไปทางด้านตะวันออก และได้มีการออกแบบต่อเติมและปรับปรุงขยายสวนทวิเลอริสใหม่ แนวทางงเดินของสวนดังกล่าวถูกเรียกว่า “Grande All?e du Roule” หรือ “Grand-Cours” และกลายเป็นสถานที่นิยมและร่วมสมัยในขณะนั้นแต่ก็ยังคงถือว่าอยู่ห่างจากกรุงปารีสเหมือนเดิม และในอีก 27 ปีต่อมาถนนสำหรับเดินเล่นเส้นนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ว่าชองเซลิเซ่ หรือ ดินแดนอันเป็นที่แสนสุขแห่งอังกฤษ (Elysian Fields in English) ชื่อดังกล่าวได้มาจากนิยายของกรีกว่าด้วยเรื่องของ “Elusia” อันหมายถึงสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้กล้า

ในปี ค.ศ.1724 ชองเซลิเซ่ได้ถูกขยายออกไปจนถึงเนินไชล็อท (หรือรู้เรียกในเวลานี้ว่า “เอตวล” ซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูชัยในปัจจุบัน) โดยการออกแบบของ Hittorf ผู้ซึ่งทำการเปลี่ยนแปลงโฉมของจตุรัสลากงกอร์ดใหม่หมด รวมถึงการออกแบบสวนชองเซลิเซ่ สร้างทางเดินด้านข้าง โคมไฟจุดด้วยแก๊ส น้ำพุ และถนนชองเซลิเซ่เริมเป็นที่ดึงดูดใจให้โรงแรมและภัตตาคารต่าง ๆ เข้ามาโดยเฉพาะในปีค.ศ.1900 หลังจากที่รถเมโทรสายที่ 1 ได้วิ่งมาลงที่สถานีอีทรอยส์

ในการออกแบบปรับปรุงถนนชองเซลิเซ่ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ.1994 โดย Bernard Huet คือการสร้างทางสำหรับคนเดินเท้าตามแนวยาวของถนน ลานจอดรถใต้ดินและปลูกต้นไม้ใหม่ พื้นที่สำหรับรถยนต์เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของความกว้างของถนนซองป์เซลิเซ่

ถนนสายตรงยาวเส้นนี้ถือเป็นต้นแบบถนนราชดำเนินของไทย มีร้านคาเฟ่บนทางเท้าริมสองฝั่งถนน ที่ซึ่งชาวปารีสจะมานั่งดูหรือนั่งให้ดูกันเนืองแน่นแทบทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในวันที่แดดดี ๆ นอกจากนั้นยังมีร้านค้าของดีราคาแพงจากดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกให้เดินเลือกซื้ออีกด้วย

Halloween < ผีออกเที่ยว >

L'Halloween ou l'Hallowe'en est une fête qui se déroule dans la nuit du 31 octobre au 1er novembre. Elle est fêtée principalement au Canada et aux États-Unis. La principale tradition veut que les enfants se déguisent avec des costumes qui font peur (squelettes, sorcières, monstres, etc.) et aillent sonner aux portes en demandant des bonbons, des fruits ou de l'argent en disant, « Trick or treat ! » (« Des friandises ou un mauvais tour ! ») ou simplement «Halloween!». D'autres activités incluent des bals masqués, le visionnage de films d'horreur, la visite de maisons "hantées", etc.

Halloween tire une lointaine origine d'une fête païenne celte ("Samain") qui a perduré plus longtemps chez les Celtes d'Irlande et de Grande-Bretagne que sur le continent européen. Après avoir évolué suite à la christianisation des populations, cette tradition a été transportée en Amérique du Nord au XIXe siècle par les Irlandais, les Écossais et autres immigrants.

Le principal symbole d'Halloween est la citrouille, remplacée quelquefois par un potiron (Jack-o'-lantern en anglais) : on le découpe pour y dessiner, en creux, un visage, puis on place une bougie en son centre.



วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทีนี้ก็เดือดร้อนถึงคนเป็นละซิ ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ประมาณว่า ปลอมตัวเป็นผีร้ายไปเลย ไม่ใช่มนุษย์นะ และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไปเลย
โคมรูปฟักทอง แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์นบางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสต์กาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสต์กาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน 'All Souls' พวกเขาจะเดินร้องขอ 'ขนมสำหรับวิญญาณ' (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
การเล่น trick or treat ตามบ้านคนส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง Jack-o-lantern ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด

ป.ล. ระวังให้ดีเถอะ คืนนี้คุณอาจเป็นคนต่อไป ที่ผีพวกนี้จะไปเยี่ยมคุณ<..>