สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์
ช่วงนี้ดวงอาทิตย์ยังคงร้อนอยู่ ดังนั้นไม่ควรเดินกลางแดดนานๆ
เพราะจะทำให้เหงื่อออก ไม่ควรดูโทรทัศน์ใกล้ๆเพราะจะแสบตาและบังคนข้างหลัง
และไม่ควรขากเสลดบนทางเท้า โชคไม่ดีอาจถูกปรับ ถ้าท้องผูกควรดื่มน้ำมากๆ
เวลาปวดให้รีบเข้าห้องส้วมให้เรียบร้อย และควรถอดกางเกงออกก่อน
เวลาอาบน้ำห้ามสวมเสื้อผ้า ไม่ควรดื่มลิโพเกินวันละ 2 ขวด
โปรดสังเกตุคำเตือนบนฉลากก่อนดื่ม แต่ไม่ต้องปฏิบัติตาม
เด็กเกิดวันนี้ ถ้าเป็นคนจะไม่มีหาง จะมีหน้ามีตาตั้งแต่ยังเล็ก
นอกจากนี้จะยังมีหูจมูกและคางอีกด้วย ขณะเป็นทารกหรือทาริกาจะตัวเล็ก
ในช่วงนี้ถ้าเด็กขี้แตกให้รีบเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที
และเด็กจะตัวใหญ่ขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
เมื่อเติบใหญ่เด็กจะกลายเป็นผู้ใหญ่ได้เอง
ถ้าทิ้งไว้ต่อไปก็จะแก่ลงโดยอัตโนมัติ
ถ้าไม่มีลูกหลานจะมีบุญได้ไปอยู่บ้านพักคนชรา
สำหรับคนที่เกิดวันจันทร์
ระยะนี้ดวงจันทร์เลื่อนที่ตัดหน้าดาวโจรที่รังสิต
ถ้าไม่ระวังของมีค่าอาจหายได้
ถ้าเดินไม่ระวังอาจหกล้มเจ็บตัวเป็นที่อับอายเสื่อมเสีย
ถ้าเจอหมาบ้าไม่ควรเข้าใกล้เป็นอันขาดเพราะอาจถูกกัดได้
เมื่อหิวก็ควรหาอะไรกินเป็นการแก้เคล็ด
เด็กเกิดวันนี้ถ้าเป็นผู้ชายจะไม่เป็นหญิง
โตขึ้นมาอีกหน่อยจะสามารถใส่เสื้อผ้าเองได้
เมื่อเติบใหญ่ต้องได้ไปทำบัตรประชาชนแน่นอน
ในเรื่องความรัก หากมีแฟนอยู่แล้วก็จะเป็นคนที่เห็นหน้ากันก่อนที่จะเป็นแฟน
หากยังไม่มีแฟนก็จะเป็นเพราะยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
ก็ให้แก้เคล็ดโดยการพยายามต่อไป
สำหรับคนที่เกิดวันอังคาร
วันนี้หากใช้เงินมากเกินตัวอาจจะต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขาได้
ไปตลาดถ้าต่อราคามากๆ อาจถูกแม่ค้าด่า ดาวประจำตัวยังโคจรรอบคลองเตย
ให้รีบไปทำงานแต่เช้า ถ้าไปสายจะถูกเจ้านายเขม่น ถ้าปวดหัวก็ให้นอนพักผ่อน
อย่ากินแอสไพรินตอนท้องว่าง และอย่ากินกาแฟก่อนนอนเพราะจะทำให้นอนไม่หลับ
เด็กเกิดวันนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายควรรีบทำสูติบัตร
เมื่อถึงวัยเรียนก็ควรพาไปเข้าเรียน
ถ้าเลี้ยงไม่ดีจะกลายเป็นโจรหรือติดยาบ้า
ถ้าเลี้ยงดีอาจได้เรียนมหาวิทยาลัย ช่วง 5-7 ขวบควรพาเด็กเที่ยวเขาดิน
เรื่องของความรักตอนนี้ถ้าปิ้งใครอยู่ก็ให้รีบเข้าไปคุย
ไม่งั้นเขาไม่รู้ว่าเรากำลังจีบเขาอยู่
สำหรับคนที่เกิดวันพุธ
วันนี้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์
ดาวพลูโตอยู่ห่างสุด
ตื่นขึ้นมาควรแก้เคล็ดด้วยการบิดขี้เกียจ และล้างหน้าแปรงฟันแก้ปากเหม็น
ถ้าฝนตกไม่ควรออกไปเล่นน้ำฝนเป็นอันขาดเพราะจะเป็นหวัดได้
ขึ้นรถเมล์ระวังกระเป๋ารถเมล์จะเข้ามาเก็บตังค์
เดินทางไกลจะเจอแต่คนแปลกหน้า
ในวันนี้ถ้าเจอพระตอนบ่ายสามห้ามใส่บาตรเด็ดขาด เจอเพื่อนจงทักทายดีๆ
แต่ถ้าเจอเจ้าหนี้ควรหลบหนีไกลๆ
เด็กเกิดวันนี้ถ้าเป็นชายโตขึ้นอาจจะเป็นตุ๊ดได้
เมื่อเติบใหญ่ควรพาไปเกณฑ์ทหาร และไม่ควรทำ สด 43 ปลอมเพราะจะถูกจับ
ถ้าเป็นหญิงเมื่ออายุ 20 จะบรรลุนิติภาวะได้เอง
ในช่วงอายุนี้บิดามารดาไม่ควรอนุญาติให้ลูกสาวบวชเป็นอันขาด
ในเรื่องของความรักคนที่มีแฟนอยู่อาจเลิกกันได้
คนที่ยังไม่มีแฟนอาจจะมีคนมาปิ๊งก็ได้
สำหรับคนที่เกิดวันพฤหัส
วันนี้ถ้าเหยียบขี้หมาให้รีบเอารองเท้าขูดกับฟุตบาทโดยเร็ว มิฉะนั้นจะเหม็น
ขึ้นรถเมล์ควรเกาะราวให้แน่นโดยเฉพาะทางโค้ง และไม่ควรตดบนรถเมล์เป็นอันขาด
ถ้าอากาศร้อนไม่ควรใส่เสื้อหนาว ถ้าอากาศเย็นไม่ควรดื่มน้ำแข็ง
เมื่อเห็นพัดลมกำลังหมุนอย่าเอามือเข้าไปแหย่มิฉะนั้นเลือดจะออกได้
เด็กเกิดวันนี้เมื่อเกิดใหม่ๆ ฟันจะยังไม่ขึ้นควรรอไปเรื่อยๆ
ฟันจะขึ้นเอง อย่าพาเด็กไปใส่ฟันปลอม เพราะจะมีฟันเกิน
ไม่ควรเลี้ยงเด็กทารกด้วยนมข้นหวานจะทำให้ขาดสารอาหารได้
ให้เลี้ยงด้วยนมแม่ไปก่อนจนกว่าจะมีอายุครบ 2 ขวบ
เมื่อโตขึ้นผู้ปกครองควรสอนให้เด็กล้างก้นเอง มิฉะนั้นจะเป็นภาระในอนาคตได้
ในเรื่องของความรักหากยังเป็นแฟนกันจะยังไม่มีทะเบียนสมรส
หากตัดสินใจจดทะเบียนก็จะต้องไปจดที่อำเภอหรือเขตแน่นอน
สำหรับคนที่เกิดวันศุกร์
วันนี้ห้ามทิ้งแฟนเป็นอันขาดเพราะแฟนอาจจะเสียใจได้
และห้ามกินของมันๆ ระวังจะอ้วน ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันบ่อยๆ 3 เดือนต่อ 1 อันกำลังเหมาะ
และไม่ควรลงเล่นน้ำคลองในใจกลางกรุงเทพฯเป็นอันขาด
วันนี้ดาวพระศุกร์โคจรมาพบกับดาวพระเสาร์ดังนั้นถ้าวันนี้เป็นวันศุกร์พรุ่งนี้ก็ควร
จะเป็นวันเสาร์ และวันต่อไปจะเป็นวันอาทิตย์
เด็กเกิดวันนี้เป็นผู้มีบุญญาวาสนาส่ง เมื่อแบเบาะจะยังพูดไม่ได้
ควรสอนไปเรื่อยๆเด็กจะพูดได้เอง ยกเว้นถ้าเด็กเป็นใบ้
ในระยะ 6-8 ขวบควรสอนให้เด็กเข้าบ้านทางประตู
ไม่ควรสอนให้เด็กเข้าบ้านทางหน้าต่างเด็ดขาด
สำหรับคนที่เกิดวันเสาร์
วันนี้ถ้าเดินผ่านกองขยะควรเอามือปิดจมูก และรีบเดินผ่านโดยเร็ว
หลังกินข้าวถ้ามีเศษอาหารติดฟันไม่ควรเอาตะเกียบแคะฟันเป็นอันขาด
ควรใช้ไม้จิ้มฟันดีที่สุด ถ้าเล็บยาวควรตัดให้สั้นแต่ถ้าสั้นควรรอให้ยาวก่อน
คืนนี้ไม่ควรนอนดึกเพราะพรุ่งนี้จะตื่นสาย
เวลาอาบน้ำควรถูสบู่ให้เกลี้ยงเกลา
เวลาไปวัดควรสวมเสื้อผ้าไปด้วยและ ไม่ควรแคะขี้มูกต่อหน้าพระสงฆ์
ถ้าคันจมูกควรจามให้เรียบร้อยก่อนเข้าวัด
แต่ถ้าไปสวนสัตว์ห้ามยื่นมือเข้ากรงเสือเป็นอันขาด
ถ้าขับรถไม่เป็นก็ไม่ควรขับ
จะเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน ให้แก้เคล็ดโดยการนั่งรถเมล์หรือแท็กซี่จะดีกว่า
เด็กที่เกิดวันนี้เมื่อยังเล็กถ้าหิวจะร้องให้
ควรป้อนนมเสียเด็กก็จะหยุดร้องเอง
และเมื่อป้อนนมเสร็จแล้วเด็กอิ่ม ไม่ควรเข้าไปเล่นกับเด็กทันที
เด็กอาจจะอ้วกใส่หน้าได้ ควรทำให้เด็กเรอเสียก่อน
เมื่อโตขึ้นมาหน่อยควรเลี้ยงด้วย
อะแล็คต้าเอ็นเอฟ หนองโพและสเปย์รอยัลตามลำดับ
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
ดอกกุหลาบ
เพื่อน ๆ ก็รู้กันใช่ไหมค่ะว่า ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แทนความรักมาเนิ่นนานแล้ว อยากบอกรักใคร ก็บอกได้ด้วยดอกกุหลาบ
แต่เพื่อน ๆ รู้หรือเปล่าว่า จำนวนของดอกกุหลาบที่เพื่อน ๆ ให้กับคนคนนั้นมันมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝงอยู่ มาดูกันสิว่าคราวที่แล้วเพื่อน ๆ ให้ดอกกุหลาบกับคนรักไปกี่ดอก แล้วมีความหมายว่าอย่างไร ถ้าความหมายยังไม่ตรงใจ คราวหน้าก็เตรียมไปให้ครบจำนวนนะคะ
1 ดอก คือ รักแรกพบ
2 ดอก คือ แสดงความยินดีด้วย
3 ดอก คือ ฉันรักเธอ
7 ดอก คือ เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก คือ เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก คือ เธอเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก คือ เธอเป็นสมบัติที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอก คือ ขอให้เธอเป็นคู่ฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก คือ เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก คือ ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก คือ ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก คือ ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก คือ ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอก คือ ความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก คือ ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก คือ ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก คือ ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอก คือ เธอจะแต่งงานกับฉันไหม?
999 ดอก คือ ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
แต่เพื่อน ๆ รู้หรือเปล่าว่า จำนวนของดอกกุหลาบที่เพื่อน ๆ ให้กับคนคนนั้นมันมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝงอยู่ มาดูกันสิว่าคราวที่แล้วเพื่อน ๆ ให้ดอกกุหลาบกับคนรักไปกี่ดอก แล้วมีความหมายว่าอย่างไร ถ้าความหมายยังไม่ตรงใจ คราวหน้าก็เตรียมไปให้ครบจำนวนนะคะ
1 ดอก คือ รักแรกพบ
2 ดอก คือ แสดงความยินดีด้วย
3 ดอก คือ ฉันรักเธอ
7 ดอก คือ เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก คือ เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก คือ เธอเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก คือ เธอเป็นสมบัติที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอก คือ ขอให้เธอเป็นคู่ฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก คือ เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก คือ ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก คือ ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก คือ ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก คือ ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอก คือ ความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก คือ ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก คือ ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก คือ ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอก คือ เธอจะแต่งงานกับฉันไหม?
999 ดอก คือ ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
ไวน์
vin
On admet généralement que le vin existe depuis plusieurs millénaires, on a trouvé des jarres anciennes de plus de 8 000 ans av J.C. contenant des pépins de raisins cultivés et de résidus d'acide tartrique. On ne sait actuellement pas si ce produit était réellement du vin ou simplement du jus de raisin.
Après l'Iran, on aurait retrouvé au nord de la Chine des traces datant de 7 000 ans av J.C. d'une boisson fermentée sur de la poterie.
Le roi Salomon l'a célébré, mais ce sont certainement les Grecs qui ont contribué au développement de la viticulture sur le pourtour de la Méditerranée. En effet, ils ont longtemps fait du commerce dans tous les pays méditerranéens. Ce sont eux qui ont importé les premiers vins en France en arrivant par le port de Marseille. À cette époque, le vin était composé de moût de raisin partiellement fermenté auquel on ajoutait de l'eau de mer pour sa conservation durant le transport, à l'arrivée on ajoutait de l'eau douce pour enlever le goût du sel.
Dans l'Égypte ancienne, on sait que la viticulture était très organisée. Osiris en Égypte, Dionysos en Grèce, Bacchus chez les Romains, Gilgamesh à Babylone représentent le vin ou sa quête dans la mythologie. Le vin symbolise aussi le sang du Christ dans la religion chrétienne. Le vin a évolué énormément durant les précédents millénaires. Les Romains avaient des vins très épicés qu'ils allongeaient à l'eau de mer. Ils ne correspondraient pas du tout aux goûts actuels.
Au XIXe siècle, le vin est considéré comme une boisson énergétique, par exemple, un faucheur en boit 6 à 8 litres par jour ! Le vin constituait une partie de sa rémunération, à une époque où l'eau n'était pas toujours vraiment potable.
ไวน์
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีมาหลายร้อยปีแล้ว มีการค้นพบโถโบราณบรรจุเมล็ดองุ่นไร่ซึ่งมีอายุนับเนื่องขึ้นไปกว่า 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล
นอกจากที่ประเทศอิหร่านแล้ว ยังมีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้จากกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ในสมัย 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของประเทศจีน
ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่าง ๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้
On admet généralement que le vin existe depuis plusieurs millénaires, on a trouvé des jarres anciennes de plus de 8 000 ans av J.C. contenant des pépins de raisins cultivés et de résidus d'acide tartrique. On ne sait actuellement pas si ce produit était réellement du vin ou simplement du jus de raisin.
Après l'Iran, on aurait retrouvé au nord de la Chine des traces datant de 7 000 ans av J.C. d'une boisson fermentée sur de la poterie.
Le roi Salomon l'a célébré, mais ce sont certainement les Grecs qui ont contribué au développement de la viticulture sur le pourtour de la Méditerranée. En effet, ils ont longtemps fait du commerce dans tous les pays méditerranéens. Ce sont eux qui ont importé les premiers vins en France en arrivant par le port de Marseille. À cette époque, le vin était composé de moût de raisin partiellement fermenté auquel on ajoutait de l'eau de mer pour sa conservation durant le transport, à l'arrivée on ajoutait de l'eau douce pour enlever le goût du sel.
Dans l'Égypte ancienne, on sait que la viticulture était très organisée. Osiris en Égypte, Dionysos en Grèce, Bacchus chez les Romains, Gilgamesh à Babylone représentent le vin ou sa quête dans la mythologie. Le vin symbolise aussi le sang du Christ dans la religion chrétienne. Le vin a évolué énormément durant les précédents millénaires. Les Romains avaient des vins très épicés qu'ils allongeaient à l'eau de mer. Ils ne correspondraient pas du tout aux goûts actuels.
Au XIXe siècle, le vin est considéré comme une boisson énergétique, par exemple, un faucheur en boit 6 à 8 litres par jour ! Le vin constituait une partie de sa rémunération, à une époque où l'eau n'était pas toujours vraiment potable.
ไวน์
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีมาหลายร้อยปีแล้ว มีการค้นพบโถโบราณบรรจุเมล็ดองุ่นไร่ซึ่งมีอายุนับเนื่องขึ้นไปกว่า 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล
นอกจากที่ประเทศอิหร่านแล้ว ยังมีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้จากกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ในสมัย 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของประเทศจีน
ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่าง ๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้
คริสมาสต์
Christianisme
Le christianisme est une religion monothéiste fondée sur la vie et les enseignements de Jésus de Nazareth tel qu'ils sont présentés dans le Nouveau Testament. Les Actes des Apôtres indiquent que le nom de « chrétien » (Grec Χριστιανός), signifiant appartenant au Christ ou partisan du Christ, fut donné à ses disciples à Antioche au milieu du premier siècle.[1] Quant au terme « christianisme » (Grec Χριστιανισμός), La référence la plus ancienne connue se trouve dans la lettre d'Ignace d'Antioche aux Magnésiens à la fin du premier siècle.[2] Les chrétiens croient que Jésus est le fils de Dieu et le Messie (ou Christ en grec) tel que le prophétisait l'Ancien Testament.[3] De ce fait, dans le christianisme, Jésus est aussi communément appelé Jésus-Christ.
La liturgie chrétienne se concentre sur la prédication et l'Eucharistie ou Sainte-Cène. Pour les catholiques, Jésus-Christ est réellement présent dans l'Eucharistie. Cette doctrine conduit vers l'adoration eucharistique.
Ayant marqué la civilisation occidentale au fils des siècles, le christianisme est de nos jours la religion la plus répandue dans le monde[4]. Elle est présente sur tous les continents, et plus particulièrement en Europe, en Amérique, en Afrique sub-saharienne et en Océanie où elle est prédominante[réf. nécessaire].
Le christianisme partage ses origines et nombre de ses textes avec le Judaisme, particulièrement la Bible Hébraique, connue chez les chrétiens sous le nom d'Ancien Testament ou de Premier Testament.[5]. Comme le Judaisme et l'Islam, le christianisme est classé comme religions abrahamiques[6][7].
คริสต์ศาสนา (Christianity) เป็นศาสนาที่นับถือศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คือพระยาเวห์(นิกายโรมันคาทอลิค,นิกายออโธดอกซ์) หรือ พระเยโฮวาห์(นิกายโปรเตสแทนท์) มีพระเยซูคริสต์เป็นศาสดา คริสตศาสนาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวซึ่งดำรงในสามพระบุคคล ในพระลักษณะ"ตรีเอกภาพ" หรือ "ตรีเอกานุภาพ" (Trinity) คือ พระบิดา, พระบุตร และพระจิต(พระวิญญาณบริสุทธิ์) มีพระคัมภีร์คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ หรือ คัมภีร์ไบเบิล (The Bible) ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือประมาณ 2,100 ล้านคน ถือว่าเป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากที่สุดในโลก
ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนายูดาย (หรือศาสนายิว) โดยมีเนื้อหาและความเชื่อบางส่วนเหมือนกัน โดยเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลฮิบรู ที่คริสตศาสนิกชนรู้จักในชื่อ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament)โดยในพระคริสตธรรมคัมภีร์ 5 เล่มแรกจากทั้งหมด 46 เล่มในภาคพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า ปัญจบรรพ (Pentateuch) ได้รับการนับถือเป็นพระคัมภีร์ของศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ด้วยเช่นกัน โดยในพระธรรมหลายตอนได้พยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ (Messiah)ที่ชาวคริสต์เชื่อว่า คือ พระเยซู เช่น หนังสือประกาศกอิสยาห์ บทที่ 53 เป็นต้น
คริสตชนนั้นมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทางหญิงพรมจารีโดยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า เพื่อไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายในสามวันหลังจากนั้น และเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ผู้ที่เชื่อและไว้วางในพระองค์จะได้รับการอภัยโทษบาป และจะรอดพ้นจากการพิพากษาในวันสิ้นพิภพ(Amagadon) และได้เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์
Le christianisme est une religion monothéiste fondée sur la vie et les enseignements de Jésus de Nazareth tel qu'ils sont présentés dans le Nouveau Testament. Les Actes des Apôtres indiquent que le nom de « chrétien » (Grec Χριστιανός), signifiant appartenant au Christ ou partisan du Christ, fut donné à ses disciples à Antioche au milieu du premier siècle.[1] Quant au terme « christianisme » (Grec Χριστιανισμός), La référence la plus ancienne connue se trouve dans la lettre d'Ignace d'Antioche aux Magnésiens à la fin du premier siècle.[2] Les chrétiens croient que Jésus est le fils de Dieu et le Messie (ou Christ en grec) tel que le prophétisait l'Ancien Testament.[3] De ce fait, dans le christianisme, Jésus est aussi communément appelé Jésus-Christ.
La liturgie chrétienne se concentre sur la prédication et l'Eucharistie ou Sainte-Cène. Pour les catholiques, Jésus-Christ est réellement présent dans l'Eucharistie. Cette doctrine conduit vers l'adoration eucharistique.
Ayant marqué la civilisation occidentale au fils des siècles, le christianisme est de nos jours la religion la plus répandue dans le monde[4]. Elle est présente sur tous les continents, et plus particulièrement en Europe, en Amérique, en Afrique sub-saharienne et en Océanie où elle est prédominante[réf. nécessaire].
Le christianisme partage ses origines et nombre de ses textes avec le Judaisme, particulièrement la Bible Hébraique, connue chez les chrétiens sous le nom d'Ancien Testament ou de Premier Testament.[5]. Comme le Judaisme et l'Islam, le christianisme est classé comme religions abrahamiques[6][7].
คริสต์ศาสนา (Christianity) เป็นศาสนาที่นับถือศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คือพระยาเวห์(นิกายโรมันคาทอลิค,นิกายออโธดอกซ์) หรือ พระเยโฮวาห์(นิกายโปรเตสแทนท์) มีพระเยซูคริสต์เป็นศาสดา คริสตศาสนาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวซึ่งดำรงในสามพระบุคคล ในพระลักษณะ"ตรีเอกภาพ" หรือ "ตรีเอกานุภาพ" (Trinity) คือ พระบิดา, พระบุตร และพระจิต(พระวิญญาณบริสุทธิ์) มีพระคัมภีร์คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ หรือ คัมภีร์ไบเบิล (The Bible) ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือประมาณ 2,100 ล้านคน ถือว่าเป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากที่สุดในโลก
ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนายูดาย (หรือศาสนายิว) โดยมีเนื้อหาและความเชื่อบางส่วนเหมือนกัน โดยเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลฮิบรู ที่คริสตศาสนิกชนรู้จักในชื่อ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament)โดยในพระคริสตธรรมคัมภีร์ 5 เล่มแรกจากทั้งหมด 46 เล่มในภาคพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า ปัญจบรรพ (Pentateuch) ได้รับการนับถือเป็นพระคัมภีร์ของศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ด้วยเช่นกัน โดยในพระธรรมหลายตอนได้พยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ (Messiah)ที่ชาวคริสต์เชื่อว่า คือ พระเยซู เช่น หนังสือประกาศกอิสยาห์ บทที่ 53 เป็นต้น
คริสตชนนั้นมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทางหญิงพรมจารีโดยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า เพื่อไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายในสามวันหลังจากนั้น และเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ผู้ที่เชื่อและไว้วางในพระองค์จะได้รับการอภัยโทษบาป และจะรอดพ้นจากการพิพากษาในวันสิ้นพิภพ(Amagadon) และได้เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์
ต้นกำเนิดมนุษย์ค่ะ
วันนี้เอาเรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์มาฝากเพื่อน ๆ ค่ะ
คน หรือ มนุษย์ สามารถนิยามได้ทั้งในทางชีววิทยา, ทางสังคม และทางเจตภาพ (spirituality) ในทางชีววิทยานั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิด Homo sapiens (ภาษาละติน: "มนุษย์ผู้รู้") ซึ่งจัดเป็นไพรเมตยืนสองขาชนิดหนึ่งในวงศ์ใหญ่ Hominoidea ร่วมกับลิงไม่มีหางหรือวานรอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ลิงชิมแปนซี, ลิงกอริลลา, ลิงอุรังอุตัง และชะนี
มนุษย์มีลำตัวตั้งตรงซึ่งทำให้รยางค์คู่บนว่างลงและใช้จัดการวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ได้ มนุษย์ยังมีสมองซึ่งพัฒนาอย่างมากและมีความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม, การพูด, การใช้ภาษา และการใคร่ครวญ
ในด้านพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์นิยามด้วยการใช้ภาษา; การจัดโครงสร้างสังคมอันซับซ้อนในรูปของกลุ่ม, ชาติ, รัฐ และสถาบัน; และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ความแตกต่างทางพฤติกรรมเหล่านี้ของมนุษย์ก่อให้เกิดวัฒนธรรมนับหมื่นนับพันวัฒนธรรม ซึ่งยึดถือความเชื่อ, ตำนาน, พิธีกรรม, คุณค่า และปทัสฐานทางสังคมต่าง ๆ กันไป
ความตระหนักถึงตนเอง, ความใคร่รู้ และการใคร่ครวญของมนุษย์ ตลอดจนความโดดเด่นกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก่อให้เกิดความพยายามที่จะอธิบายธรรมชาติและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ทั้งในทางวัตถุธรรมและในทางนามธรรม คำอธิบายในทางนามธรรมนั้นจะเน้นมิติทางเจตภาพของชีวิต และอาจรวมถึงความเชื่อในพระเป็นเจ้า, เทพเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติอื่น ๆ ตลอดจนแนวคิดเรื่องวิญญาณ ความพยายามที่จะสะท้อนภาพตัวเองของมนุษย์นั้นเป็นพื้นฐานของความคิดทางด้านปรัชญา และมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคแรก ๆ
คน หรือ มนุษย์ สามารถนิยามได้ทั้งในทางชีววิทยา, ทางสังคม และทางเจตภาพ (spirituality) ในทางชีววิทยานั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิด Homo sapiens (ภาษาละติน: "มนุษย์ผู้รู้") ซึ่งจัดเป็นไพรเมตยืนสองขาชนิดหนึ่งในวงศ์ใหญ่ Hominoidea ร่วมกับลิงไม่มีหางหรือวานรอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ลิงชิมแปนซี, ลิงกอริลลา, ลิงอุรังอุตัง และชะนี
มนุษย์มีลำตัวตั้งตรงซึ่งทำให้รยางค์คู่บนว่างลงและใช้จัดการวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ได้ มนุษย์ยังมีสมองซึ่งพัฒนาอย่างมากและมีความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม, การพูด, การใช้ภาษา และการใคร่ครวญ
ในด้านพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์นิยามด้วยการใช้ภาษา; การจัดโครงสร้างสังคมอันซับซ้อนในรูปของกลุ่ม, ชาติ, รัฐ และสถาบัน; และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ความแตกต่างทางพฤติกรรมเหล่านี้ของมนุษย์ก่อให้เกิดวัฒนธรรมนับหมื่นนับพันวัฒนธรรม ซึ่งยึดถือความเชื่อ, ตำนาน, พิธีกรรม, คุณค่า และปทัสฐานทางสังคมต่าง ๆ กันไป
ความตระหนักถึงตนเอง, ความใคร่รู้ และการใคร่ครวญของมนุษย์ ตลอดจนความโดดเด่นกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก่อให้เกิดความพยายามที่จะอธิบายธรรมชาติและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ทั้งในทางวัตถุธรรมและในทางนามธรรม คำอธิบายในทางนามธรรมนั้นจะเน้นมิติทางเจตภาพของชีวิต และอาจรวมถึงความเชื่อในพระเป็นเจ้า, เทพเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติอื่น ๆ ตลอดจนแนวคิดเรื่องวิญญาณ ความพยายามที่จะสะท้อนภาพตัวเองของมนุษย์นั้นเป็นพื้นฐานของความคิดทางด้านปรัชญา และมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคแรก ๆ
บักบันนี่
Bugs Bunny est un personnage de dessin animé états-unien créé par plusieurs dessinateurs dont Ben Hardaway. Il apparut pour la première fois à l'écran dans "Porky's Hare Hunt" (1938) de Ben Hardaway et Cal Dalton. Il devint le personnage que nous connaissons aujourd'hui sous la plume de Tex Avery dans "Wild Hare" (1940), produit par Chuck Jones. À l'origine, il devait s'appeler "Happy Rabbit" mais, suivant la suggestion de Mel Blanc (la voix originale de Bugs Bunny, auteur de la phrase classique "Ehh, What's up Doc ?"), il fut baptisé comme son créateur Ben Hardaway, dont le surnom était "Bugs". À partir de 1962, Bugs apparut dans 159 films et gagna même un Oscar pour "Knightly Knight Bugs" (1958). C'est une figure emblématique de la Warner Bros.. En version française, c'était Guy Piérauld qui assurait la voix de Bugs Bunny.
Bugs Bunny est un lapin gris aux postures humaines qui passe son temps à grignoter des carottes, creuser la terre et à se jouer de ses ennemis ! Son génie tient du fait qu'il arrive toujours à embrouiller son adversaire et à lui échapper même si pour cela il doit déjouer les lois de la nature, car il est le maître de son dessin animé. C'est le côté absurde de Bugs Bunny, comme dessiner une porte dans un mur et puis l'ouvrir, qui le rend inoubliable. Ses ennemis (ou complices) : Elmer Fudd le chasseur, Yosemite Sam (dit Sam le pirate), Marvin le Martien, Daffy Duck et occasionnellement, Vil Coyote.
Sa célèbre phrase fétiche est : « Quoi de neuf, docteur ? » (« Eh, what's up, doc? » en anglais).
Bugs Bunny a été classé numéro 1 parmi les 50 meilleurs personnages de dessin animé dans un top 50 américain. Il possède une étoile sur le Walk of Fame.
บักส์ บันนี (Bugs Bunny) เป็นตัวการ์ตูนใน ลูนีย์ทูนส์ ซึ่งการ์ตูนซีรี่ส์เป็นตอน ๆ และเป็นตัวการ์ตูนที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก บักส์บอกว่าเขาเกิดในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ที่ย่านบรูกลิน ในนครนิวยอร์ก แต่เสียงของ เมล แบลงก์ ซึ่งพากย์เสียงของ บักส์ บันนี เป็นสำเนียงลูกผสมระหว่างคนย่านบรองซ์กับบรูกลิน บักส์เป็นที่รู้จักกันดีจากการเป็นคู่แค้นกับ เอลเมอร์ ฟัดด์ โยเซมิตี แซม มาร์วิน มาร์เชียน แดฟฟี ดัคก์ แม้กระทั่ง ไวลี อี. ไคโยตี (ซึ่งโดยปกติแล้วจะไล่ล่า โรด รันเนอร์ (Road Runner) หรือ ตัว "บิ๊บ บิ๊บ" ที่เรารู้จักกันดี)
ทุกครั้งที่มีเรื่องมีราวกัน บักส์จะลงเอยเป็นผู้ชนะเสมอ โดยเฉพาะตอนที่กำกับโดย ชัคก์ โจนส์ ผู้ซึ่งชอบจับคู่ชน ระหว่าง "ผู้ชนะ" กับ "ผู้แพ้" เนื่องจากโจนส์เป็นห่วงว่า ในที่สุดผู้ชมจะหมดความเห็นอกเห็นใจให้กับ บักส์ ซึ่งเป็นผู้ชนะตลอด (โดยปกติ ผู้ชนะมักจะเป็นฝ่ายที่ก้าวร้าวกว่า) โจนส์จึงได้วางเนื้อเรื่องให้บักส์นั้นถูกรังแก ถูกล่อลวง และถูกข่มขู่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากอีกฝ่ายที่มีเรื่องกันเสมอ หลังจากถูกหาเรื่อง (ปกติแล้วจะเกิดขึ้น 3 ครั้ง) บักส์ก็จะพูดว่า "Of course, you realize this means war" (แน่นอน คุณก็เห็นว่านี่คือสงคราม) เป็นคำพูดที่ โจนส์ เอามาจาก เกราโช มาร์กซ และผู้ชมก็จะไม่ว่าอะไร ในลักษณะเป็นเชิงให้อนุญาตให้บักส์นั้น เริ่มใช้ความรุนแรงตอบโต้ได้ แต่ในตอนที่บักส์ พบกับตัวการ์ตูนที่เป็น "ผู้ชนะ" เหมือนกัน เช่น ซิซิล เดอะ เทอเทิล ใน Tortoise Beats Hare (กระต่ายกับเต่า) หรือใน WWII (สงครามโลกครั้งที่สอง) the Gremlin of Falling Hare บักส์มักจะเสียสถิติในการเป็นผู้ชนะ เนื่องจากความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
Bugs Bunny est un lapin gris aux postures humaines qui passe son temps à grignoter des carottes, creuser la terre et à se jouer de ses ennemis ! Son génie tient du fait qu'il arrive toujours à embrouiller son adversaire et à lui échapper même si pour cela il doit déjouer les lois de la nature, car il est le maître de son dessin animé. C'est le côté absurde de Bugs Bunny, comme dessiner une porte dans un mur et puis l'ouvrir, qui le rend inoubliable. Ses ennemis (ou complices) : Elmer Fudd le chasseur, Yosemite Sam (dit Sam le pirate), Marvin le Martien, Daffy Duck et occasionnellement, Vil Coyote.
Sa célèbre phrase fétiche est : « Quoi de neuf, docteur ? » (« Eh, what's up, doc? » en anglais).
Bugs Bunny a été classé numéro 1 parmi les 50 meilleurs personnages de dessin animé dans un top 50 américain. Il possède une étoile sur le Walk of Fame.
บักส์ บันนี (Bugs Bunny) เป็นตัวการ์ตูนใน ลูนีย์ทูนส์ ซึ่งการ์ตูนซีรี่ส์เป็นตอน ๆ และเป็นตัวการ์ตูนที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก บักส์บอกว่าเขาเกิดในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ที่ย่านบรูกลิน ในนครนิวยอร์ก แต่เสียงของ เมล แบลงก์ ซึ่งพากย์เสียงของ บักส์ บันนี เป็นสำเนียงลูกผสมระหว่างคนย่านบรองซ์กับบรูกลิน บักส์เป็นที่รู้จักกันดีจากการเป็นคู่แค้นกับ เอลเมอร์ ฟัดด์ โยเซมิตี แซม มาร์วิน มาร์เชียน แดฟฟี ดัคก์ แม้กระทั่ง ไวลี อี. ไคโยตี (ซึ่งโดยปกติแล้วจะไล่ล่า โรด รันเนอร์ (Road Runner) หรือ ตัว "บิ๊บ บิ๊บ" ที่เรารู้จักกันดี)
ทุกครั้งที่มีเรื่องมีราวกัน บักส์จะลงเอยเป็นผู้ชนะเสมอ โดยเฉพาะตอนที่กำกับโดย ชัคก์ โจนส์ ผู้ซึ่งชอบจับคู่ชน ระหว่าง "ผู้ชนะ" กับ "ผู้แพ้" เนื่องจากโจนส์เป็นห่วงว่า ในที่สุดผู้ชมจะหมดความเห็นอกเห็นใจให้กับ บักส์ ซึ่งเป็นผู้ชนะตลอด (โดยปกติ ผู้ชนะมักจะเป็นฝ่ายที่ก้าวร้าวกว่า) โจนส์จึงได้วางเนื้อเรื่องให้บักส์นั้นถูกรังแก ถูกล่อลวง และถูกข่มขู่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากอีกฝ่ายที่มีเรื่องกันเสมอ หลังจากถูกหาเรื่อง (ปกติแล้วจะเกิดขึ้น 3 ครั้ง) บักส์ก็จะพูดว่า "Of course, you realize this means war" (แน่นอน คุณก็เห็นว่านี่คือสงคราม) เป็นคำพูดที่ โจนส์ เอามาจาก เกราโช มาร์กซ และผู้ชมก็จะไม่ว่าอะไร ในลักษณะเป็นเชิงให้อนุญาตให้บักส์นั้น เริ่มใช้ความรุนแรงตอบโต้ได้ แต่ในตอนที่บักส์ พบกับตัวการ์ตูนที่เป็น "ผู้ชนะ" เหมือนกัน เช่น ซิซิล เดอะ เทอเทิล ใน Tortoise Beats Hare (กระต่ายกับเต่า) หรือใน WWII (สงครามโลกครั้งที่สอง) the Gremlin of Falling Hare บักส์มักจะเสียสถิติในการเป็นผู้ชนะ เนื่องจากความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)